High Precision Interconnect Cables
สำหรับ Black Cat HiFi ซึ่งเป็นแบรนด์ไทยแท้ที่ คุณพรเทพ พงษ์พิทักษ์โยธิน เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อสัก 3-4 ปีที่แล้ว จากความสนใจทำสายสัญญาณขึ้นมาใช้เอง เพราะทำแล้วเห็นผลการเปลี่ยนแปลงของเสียงได้ชัดเจน อีกทั้งสายสัญญาณดีๆ จากต่างประเทศก็มีราคาแพงมาก จึงเริ่มทดลองอย่างจริงจังศึกษาเรื่องตัวนำชนิดต่างๆ เช่น สายเงิน สายทองแดง สายอัลลอย์ สายชุบทอง ชุบเงิน จนเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า สายสัญญาณที่นำสัญญาณได้ดีจะต้องมีคุณสมบัติเนื้อโลหะที่เจาะจง ถึงจะเป็นตัวนำสัญญาณได้อย่างครบถ้วนแต่จะให้บุคลิกที่แตกต่างไปตามโลหะนั้นๆ ขนาดของตัวนำ และจำนวนที่เหมาะสม จึงต้องคำนวณอย่างแม่นยำเพื่อให้ได้มาซึ่งความเหมาะสม หากว่าไม่เหมาะสมจะเกิดตัวแปรเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ความต้านทานแฝง ค่าคาปาซิแตนซ์แฝง ซึ่งจะทำให้เกิดความเพี้ยนทำให้เสียงออกมาไม่ถูกต้องเช่น เบสมากหรือน้อยเกินไป เสียงแหลมที่บาดหูจนฟังไม่ได้ จึงได้ทำการสรุปและบันทึกข้อสรุปต่าง ๆ จากการทดสอบด้วยการฟังกับเพลงหลายสไตล์ ทั้งยังส่งให้เพื่อน ๆ ในหลายกลุ่มได้ช่วยทดสอบฟัง เพื่อหาข้อเด่นข้อด้อยเพื่อปรับปรุงและเปรียบเทียบสินค้าในตลาด เมื่อมั่นใจว่า สามารถสู้สินค้าในตลาดได้ จึงเริ่มผลิตออกเพื่อจำหน่าย ภายใต้แบรนด์สินค้า Black Cat HiFi
โดยปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Black Diamond Series เป็น “หัวหมู่ทะลวงฟัน” อันกอปรด้วย 2 รุ่นสำคัญ Heart of Gold และ Heart of Gold “Faraday’s Cage” ซึ่งทั้ง 2 รุ่น ล้วนมีจุดเด่นอยู่ที่การใช้วัสดุ Graphene (กราฟีน) เป็นตัวนำหลัก คำว่า Graphene นั้น นับว่าเป็นของใหม่ ไม่แต่เฉพาะในบ้านเรา หากแต่ทั่วโลกก็ดูจะเพิ่งรู้จักกับมัน เมื่อไม่นานมานี้เอง “Graphene” คืออะไร?-คงต้องเฉลยตรงนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันก่อน
ทั้งนี้ NanoMagnetics Instruments ได้บรรยายถึง Graphene เอาไว้ในบทความ What is Graphene? (April 28, 2022) ดังนี้ครับ :-
จริง ๆ แล้ว ‘Graphene’ เป็น Allotrope หรือ อัญรูปของคาร์บอน “กราฟีน” จึงมีสภาพเป็นอโลหะ มิใช่วัสดุโลหะอย่าง ทองคำ ทองแดง หรือ เงิน ทั้งนี้ลักษณะเด่นของกราฟีนอยู่ที่ความแปลกในลักษณะทางกายภาพ ที่เป็น 2 มิติ (Two-Dimensionality) เป็นหลัก “Graphene” คือ ชั้นของคาร์บอนอะตอมเดี่ยวที่จัดเรียงเป็นรูปหกเหลี่ยม ซึ่งมองเห็นได้คล้ายกับรังผึ้ง
แนวคิดเชิงทฤษฎีในการสร้างโครงสร้าง “คาร์บอนอะตอมเดี่ยว” นั้น มีมานานแล้วตั้งแต่ช่วงปี 1940 ทว่าแนวคิดนี้ถูกปฏิเสธโดยนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มาเนิ่นนาน เพิ่งจะสามารถเปลี่ยนเป็นวัสดุที่จับต้องได้จริง ก็ในอีกหกทศวรรษต่อมา โดย Gejm และ Nowosiolow แห่ง University of Manchester สามารถแยก Graphene ออกจากก้อนกราไฟท์ (Graphite Stack) ได้เป็นผลสำเร็จในปี 2004 โดยการถ่ายโอนอะตอมของคาร์บอนไปยังชั้นของซิลิคอนไดออกไซด์ (SO 2) โดยใช้เทปกาว (Adhesive Tape)
ทั้งนี้ซิลิกา (Silica) มีบทบาทสำคัญอย่างมากในกระบวนการนี้ ด้วยการแยกชั้นกราฟีนด้วยประจุไฟฟ้าที่เป็นกลาง (Neutral Electrical Charge) ปัจจุบันวิธีนี้ใช้เฉพาะในขนาดเล็กเพื่อวัตถุประสงค์ในการวิจัยเท่านั้น กราฟีนจึงเป็นรูปแบบหนึ่งของคาร์บอน ที่อะตอมของคาร์บอนถูกจัดเรียงเป็นรูปหกเหลี่ยม และประกอบด้วยพื้นผิว 2 มิติ มีโครงสร้างที่ยืดหยุ่น ในฐานะที่เป็นวัสดุนาโน 2 มิติ (2-Dimensional Nanomaterial) ที่มีความหนาเพียงอะตอมเดียว จึงแสดงให้เห็นว่า เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งของนาโนเทคโนโลยี
กราฟีนนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นตัวนำความร้อนและไฟฟ้าที่ดีมาก นอกจากนี้ยังโดดเด่นด้วยความต้านทานต่อการใช้งานที่ต่ำสุดๆ (Low Active Resistance) ซึ่ง ณ ที่อุณหภูมิห้อง (Room Temperature) อิเล็กตรอนของกราฟีนจะแสดงการเคลื่อนที่ ด้วยค่าความเร็วสูงถึง 1/300 ของความเร็วแสง อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในวัสดุอื่นใด ซึ่งด้วยศักย์ทางไฟฟ้าที่ไม่ธรรมดา กราฟีนจึงเป็นคู่แข่งของทองแดง และซิลิกอน
กราฟีนเกือบจะโปร่งใส (Nearly Transparent) และดูดซับแสงสีขาว (White Light) ได้ 2.3% นอกจากนี้ยังให้ความยืดหยุ่นในระดับสูง (ยืดได้ถึง 20% ของความยาว หรือ ความกว้าง) คุณสมบัติต้านจุลชีพ (Antimicrobial Properties) ของวัสดุก็มีความสำคัญเช่นกัน แม้ว่าจะมีน้ำหนักเบามาก แต่ก็มีโครงสร้างที่แข็งแรงกว่าเหล็กถึง 200 เท่า และนำไฟฟ้าได้ดีมาก ๆ อย่างที่ได้บอกไป กราฟีนจึงถูกวางตัวสำหรับระบบสื่อสารออปโตอิเล็กทรอนิกส์

นอกจากนี้ยังมีการคาดเดาเกี่ยวกับการใช้กราฟีนในอนาคต สำหรับการผลิตส่วนประกอบโครงสร้างที่มีน้ำหนักเบา และทนทานยิ่งกว่าสำหรับรถยนต์ เครื่องบิน เรือ และอุปกรณ์ต่างๆ หรือว่าใช้ร่วมกับวัสดุเทียม (เช่น ยาง) เพื่อสร้างยางที่นำความร้อนได้จากกราฟีน ทั้งนี้กระดาษที่แข็งแรงมาก ซึ่งสามารถนำไฟฟ้าได้นั้น ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นมาแล้ว
เนื่องจากกราฟีนมีความสามารถในการเคลื่อนย้าย อิเล็กตรอนที่สูงอย่างน่าทึ่งที่อุณหภูมิห้อง ความสามารถที่แท้จริงในการเคลื่อนที่ในอุณหภูมิห้องที่ 200000 cm2·V−1·s−1 ณ ค่าความหนาแน่นของตัวขนส่งเท่ากับ 1012 cm ยกกำลัง-2 ความต้านทานของแผ่นกราฟีนที่สอดคล้องกันจะเป็น 10 ยกกำลัง –10 Ω/cm ซึ่งน้อยกว่าความต้านทานของเงิน (เปรียบเทียบกับความสามารถในการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนในทองแดงที่มีค่า 30 cm2/(V.s)
ในปี 2013 นักวิจัยแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเคลื่อนตัวสูงของกราฟีนในเครื่องตรวจจับ ที่ช่วยให้ความสามารถในการเลือกความถี่แถบกว้างในช่วงตั้งแต่ THz จนถึงช่วง IR (0.76-33THz) นักวิจัยอีกกลุ่มหนึ่งได้สร้างทรานซิสเตอร์ความเร็วสูงถึงระดับ Terahertz หรือ THz (หนึ่งเทราเฮิรตซ์เท่ากับ 10 ยกกำลัง 12 เฮิรตซ์ หรือ 1,000 GHz โดยมีค่าความยาวช่วงคลื่นตั้งแต่ 1 มม. ถึง 0.1 มม.=100 µm) ด้วยคุณ ลักษณะแบบ Bistable ซึ่งหมายความว่า อุปกรณ์สามารถสลับระหว่างสองสถานะทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยตัวของมันเอง
คุณพรเทพ พรพิทักษ์โยธิน เจ้าของและผู้ผลิต Black Cat HiFi กล่าวว่า หลังจากวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้สืบค้นมา จึงได้ค้นหาผู้ผลิตเส้นใย Graphene และดำเนินการสั่งซื้อนำเข้ามา เพื่อทดลองทำสายสัญญาณสำหรับเครื่องเสียงโดยใช้ประสบการณ์ในการทำสายสัญญาณที่ผ่านมา ผลการทดสอบเสียงด้วยการฟัง ให้ผลลัพธ์ไปในทางเดียวกันคือ สายสัญญาณที่ใช้ตัวนำ Graphene ตอบสนองได้ดีในทุกย่านความถี่เสียง ทั้งในด้านความเร็ว และความไพเราะ และมีความเป็นดนตรีสูง
กล่าวคือ-เสียงความถี่ต่ำรองรับความถี่ต่ำสุดเท่าที่ลำโพงจะทำได้ และให้รายละเอียดของมวลส่งแรงปะทะมาจนรู้สึกได้-เสียงกลางมีความคมชัด แต่ไม่กระด้าง เสียงร้องให้น้ำเสียงเป็นธรรมชาติ ทั้งเนื้อเสียงและหางเสียง-เสียงสูงไปได้สูงสุดเท่าที่ลำโพงจะถ่ายทอดออกมาได้ มีความละเมียดละไม มีความกังวานของชิ้นดนตรีไม่บาดหู-ซาวด์สเตจ และโฟกัสชิ้นดนตรีมีตำแหน่งแห่งหนชัดเจน ให้บรรยากาศเหมือนได้นั่งฟังดนตรีหน้าเวที
ทั้งหมดนี้คือ คุณสมบัติเฉพาะตัวของตัวนำ Graphene ที่สามารถรองรับการเดินทางในเรื่องของแถบความถี่ และความเร็วได้อย่างไม่มีข้อจำกัดนั่นเอง…Black Cat HiFi รุ่น Black Diamond Series ซึ่งใช้ตัวนำ Graphene เป็นรายแรกของประเทศไทยจึงกำเนิดขึ้น ด้วยเป้าหมายสายสัญญาณที่มีความเป็นดนตรีสูง ที่จะตอบสนองนักฟังเพลงอย่างไร้ข้อจำกัด จากฝีมือแฮนด์เมดแท้ๆ ด้วยความพิถีพิถันในทุกเส้นสายของคุณพรเทพ

คุณลักษณ์
อย่างที่ได้กล่าวถึงไว้ตอนต้นว่า Graphene (กราฟีน) จริงๆ แล้วเป็น Allotrope หรือ อัญรูปของคาร์บอน “กราฟีน” จึงมีสภาพเป็นอโลหะ (Non-Metal) มิใช่วัสดุโลหะ (Metal) อย่าง ทองคำ ทองแดง หรือ เงิน นอกจากนี้ “กราฟีน” นั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เป็นตัวนำความร้อนและไฟฟ้าที่ดีมาก สามารถรองรับการนำพาสัญญาณทั้งในเรื่องความกว้างของแถบความถี่ (Wide-Band Frequency) และความเร็ว/อัตราเร่ง (Speed/Velocity) ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด นอกจากนี้ยังโดดเด่นด้วยความต้านทานต่อการใช้งานที่ต่ำสุดๆ (Low Active Resistance) อีกทั้งอิเล็กตรอนของกราฟีนจะแสดงการเคลื่อนที่ ด้วยค่าความเร็วสูงถึง 1/300 ของความเร็วแสง ณ ที่อุณหภูมิห้อง (Room Temperature) ความเร็วยิ่งยวดระดับนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนในวัสดุอื่นใด
ด้วยศักย์ทางไฟฟ้าที่ไม่ธรรมดา “กราฟีน” จึงเป็นคู่แข่งของวัสดุตัวนำที่เป็นโลหะ (Metal) และที่สำคัญ “กราฟีน” ยังปลอดจากบุคลิกจำเพาะตัว (Non-Characteristic) อย่างที่วัสดุโลหะนั้น มักจะหลีกเลี่ยงไม่พ้น Black Cat HiFi เป็นสายสัญญาณรายแรกที่ใช้ตัวนำ Graphene เป็นส่วนประกอบหลักสำคัญ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเพื่อการเป็นสายสัญญาณที่มีความแม่นยำสูงสุดในการส่งมอบความเป็นดนตรีที่สมบูรณ์แบบในทุกด้านอย่างแท้จริง-ยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา-ด้วยคุณสมบัติที่พร้อมตอบสนองนักฟังเพลงอย่างไร้ข้อจำกัด สามารถครอบคลุมความถี่เสียงในทุกช่วงย่านอย่างกว้างขวาง (Wide-Bandwidth) ควบคู่ความโดดเด่นในด้านความรวดเร็วของนำเสนอสัญญาณฉับพลัน (Transient) ได้อย่างฉับไว ให้คุณได้รับรู้ถึงความเที่ยงตรงในพลังไดนามิกอย่างเต็มเปี่ยม จนคุณต้องทึ่ง!!
ซึ่งจากการค้นคว้าทดลองอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาตัวนำสัญญาณเสียงที่ตอบสนองเรื่องการนำสัญญาณเสียงให้ได้ครบถ้วนถูกต้องทั้งคาบเวลา และความเร็ว รวมถึงการนำพาความถี่ได้เป็นช่วงย่านที่กว้างมากๆ จึงพบข้อมูลว่า “Graphene” มีคุณสมบัติเฉพาะตัว ถึงพร้อมซึ่งความเป็นวัสดุตัวนำระดับอุดมคติ (นำพาสัญญาณได้ถึงระดับ Terahertz-THz) ด้วยคุณสมบัติเฉพาะของตัวนำ “Graphene” ที่ล้ำหน้ายิ่งกว่าตัวนำโลหะทุกชนิด นับเป็นนวัตกรรมการคิดค้นสายสัญญาณ เพื่อตอบสนองนักฟังเพลงที่ถวิลหาความถูกต้องของทุกองค์ประกอบเสียง รวมถึงการบ่งบอกสภาพมิติ-เวทีเสียง และความไพเราะของเสียงดนตรีทุกประเภท ทำให้ “Black Cat HiFi” จึงเลือก “Graphene” มาใช้ในการผลิตสายสัญญาณระดับสูงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ให้คนไทยได้ภาคภูมิใจร่วมกัน
ด้วยความที่สายสัญญาณเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ซึ่งมิอาจมองข้ามความสำคัญ น้อยไปกว่าอุปกรณ์ชิ้นอื่นในซิสเต็ม เพราะหากใช้สายสัญญาณที่ไม่สามารถนำพาสัญญาณจากต้นทางไปจนถึงปลายทางได้อย่างครบถ้วนแล้วไซร้ อาจสร้างความผิดเพี้ยนขึ้นในระบบเสียงส่งผลต่อคุณภาพการรับฟังจนเกินคาดก็เป็นได้ เหตุเพราะตัวนำแต่ละชนิดมีคุณสมบัติเฉพาะในการนำพาความถี่เสียงได้ไม่เท่ากัน ด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน
สำหรับสายสัญญาณ “Black Diamond Series” ที่ Black Cat HiFi กล้าพูดและยืนยันได้ว่า “ดีที่สุด” จนต้องบอกว่า ลองฟังให้ได้-สักครั้ง-แล้วคุณจะเข้าใจ และประจักษ์ในทันทีว่า ทำไมสายสัญญาณจึงเปรียบได้ไม่ต่างจากอุปกรณ์หลักที่จำเป็นต่อการก้าวไปให้สุดในคุณภาพการรับฟัง…สายสัญญาณ “Black Diamond Series” พร้อมพาชีวิตคุณสู่จุดเปลี่ยนแห่งการรับฟัง โดยไม่จำเป็นต้องอัปเกรดอุปกรณ์…แล้วคุณจะพบ “จิ๊กซอว์” ตัวสุดท้ายของระบบเสียงที่คุณค้นหามานาน…ปลดปล่อยพันธนาการเครื่องเสียงให้แสดงศักยภาพขั้นสูงสุดด้วยสายสัญญาณ Black Diamond Series จาก Black Cat HiFi
สายสัญญาณ “Black Diamond Series” มี 2 รุ่น ให้ได้เลือกใช้ “Heart of Gold” และ “Heart of Gold Faraday’s Cage” ทั้งนี้ Black Cat HiFi ตระหนักดีว่า เสียงที่ดีสุดในระบบ ย่อมเกิดจากความเข้ากันได้อย่างลงตัว (Matched) ระหว่างแต่ละอุปกรณ์ที่ต่อพ่วงกัน ทำการส่งต่อสัญญาณได้อย่างครบถ้วน จากต้นทางจรดสู่ปลายทาง สายสัญญาณ Black Diamond Series ทั้ง 2 รุ่น จึงเป็นสายสัญญาณที่ผ่านการค้นคว้าทดลองโดยใช้ตัวนำหลัก Graphene ทั้งที่เป็นเส้นใยและวัสดุเคลือบผิวบนตัวนำ ผสานร่วมกับตัวนำ Single Crystal Silver เพื่อให้เกิดเสียงที่มีความใสกังวาน เสียงร้องที่คมชัด มิติทางดนตรีที่ชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็น ‘Heart of Gold’ หรือ “Heart of Gold Faraday’s Cage” ล้วนเป็นสายรุ่นล่าสุดจาก Black Cat HiFi ที่จะทำให้ท่านได้พบกับประสบการณ์ใหม่ที่ไม่อาจพบได้จากสายตัวนำชนิดอื่น ด้วยความครบชัดในรายละเอียดของทุกๆ เสียง, ครบถ้วนในฮาร์โมนิกของทุก ๆ ช่วงย่านความถี่ และครบสมบูรณ์ทั้งความสด สะอาด แจ่มชัด พร้อมด้วยความละเมียดละไม ให้ความฉ่ำชุมมีความกังวานสมจริงของชิ้นดนตรี
ผลการรับฟัง
เริ่มต้นจากการรับฟัง ‘Heart of Gold’ ซึ่งสามารถสำแดงสมรรถนะออกมาได้น่าทึ่งทีเดียว โดยให้ความโดดเด่นมากในการ “นำเสนอ” ช่วงความถี่เสียงต่ำที่ทั้งรุกเร้า-ดุดัน และแผ่ใหญ่-กระชับฉับไว ไม่อวบอ้วน อุ้ยอ้าย พร้อมด้วยจังหวะจะโคนที่ควบคุมตัวได้อย่างแม่นยำ ทั้งยังให้ความอิ่มเอิบใน “น้ำหนักเสียง” บ่งบอกสภาพความมีทรวดมีทรงของทุกสรรพเสียง ควบคู่กับ “เนื้อเสียง” ที่ให้ความนวลเนียน ละเมียดละไม ทั้งยังถ่ายทอดความฉับไวในการส่งมอบรายละเอียดเสียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ถึงขั้น “แจ่ม กระจ่าง” และในสรรพสำเนียงเสียงต่าง ๆ ที่รับฟังนั้นก็ล้วน “เด่นลอย” ออกมาอย่างมีตัวมีตนมีมวลอากาศ (Airy) พร้อมด้วยอาณาบริเวณเสียงที่เป็นอิสระไม่ซ้อนทับปนเปกัน เสียงทุกเสียงมีความสด-สว่าง รวมไปถึง “สภาพบรรยากาศเสียง” ที่ถูกถ่ายทอด-บ่งบอกออกมาในขณะรับฟัง ทำให้เสียงดนตรีที่รับฟังนั้นมีความสมจริง แม้กระทั่งการออกเสียงอักขระภาษาที่นักร้องเปล่งออกมานั้นก็ราวกับว่า มองเห็นอากัปกริยาในการห่อปาก (อย่างเช่น ตัว C, S, H) หรือว่าลักษณะเอาลิ้นขึ้นไปแตะเพดานปาก (อย่างเช่น ตัว L, W) กระนั้นครับ ไม่ต่างไปจากความเป็นธรรมชาติอย่างที่เราได้ยินได้ฟังออกมาจากการเปล่งเสียงของคนเราจริง ๆ
‘Heart of Gold’ ทำให้สัมผัสได้ถึงสรรพเสียงที่มี “ลมหายใจ”-เป็นเสียงที่มีชีวิตชีวา มีความเปิดโปร่งเป็นอย่างมาก จนสามารถรับฟังได้ถึงรายละเอียดเสียงเล็กๆ น้อย ที่แม้จะแผ่วเบาแต่ก็ชัดเจน ลอยเด่นออกมา อีกทั้งยังรับรู้ได้ถึง “สภาพบรรยากาศเสียง” ที่ถูกส่งมอบออกมา ทำให้สรรพเสียงที่รับฟังนั้นมีความเป็นธรรมชาติอย่างสมจริง
‘Heart of Gold’ ให้ความ-แตกต่าง-ที่รับรู้ได้ว่า ดีขึ้นกว่าสายสัญญาณแบรนด์ดังที่ผมใช้อยู่ประจำมาดั้งเดิมพอสมควรเลยละครับ…ไม่ว่าจะเป็นในแง่น้ำหนัก-พลังเสียง รวมทั้งรายละเอียดที่เปิดเผยออกมามากขึ้น รวมไปถึงการเปิดโปร่ง-ฉับไวในด้านของไดนามิกเสียงอย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว “ความสดใส โปร่งกระจ่าง ควบคู่กับเนื้อเสียงเนียนนุ่มละมุนละไม รวมถึงความฉับไวก็ถูก ‘Heart of Gold’ นำพาออกมาให้ได้รับฟัง รวมทั้งรายละเอียดเสียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ระยิบระยับครบถ้วน” นับเป็นจุดเด่นที่บ่งบอกออกมาทันทีเมื่อได้ฟัง ทั้งยังสัมผัสได้ถึง “ความเต็มอิ่ม” ในน้ำหนักเสียง บ่งบอกสภาพความมีทรวดมีทรงของทุกสรรพเสียง ให้ความนวลเนียน ละเมียดละไมยิ่งกว่าที่เคยคุ้น และในทุกสรรพเสียงนั้นก็ล้วน “เด่นลอย” ออกมาอย่างมีตัวตน และมีอาณาบริเวณเสียงที่เป็นอิสระไม่ซ้อนทับปนเปกัน เสียงทุกเสียงที่รับฟังมีความสว่าง “กระจ่าง” ขึ้นกว่าธรรมดา
รวมไปถึง “สภาพบรรยากาศเสียง” ที่ถูกส่งมอบออกมาในขณะรับฟัง ทำให้เสียงดนตรีที่รับฟังนั้นมีความสมจริง แม้กระทั่งการออกเสียงอักขระภาษาที่นักร้องเปล่งออกมานั้นก็ “สมจริงมาก” ในความเป็นธรรมชาติอย่างที่เราได้ยินได้ฟังการเปล่งเสียงนั้นออกมาจากปากมนุษย์จริงๆ กระนั้น มีทั้ง “น้ำหนักเสียง” มีทั้ง “ลมหายใจ”-เป็นเสียงที่มีชีวิตมีตัวตน รวมถึงความเปิดโปร่งเป็นอย่างมาก รู้สึกได้ถึงว่า รับฟังอะไร ๆ ได้แจ่มชัดขึ้น มากขึ้นอย่างแท้จริง รายละเอียดเสียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แม้จะแผ่วเบาแต่ก็ชัดเจน และเด่นลอยออกมา

‘Heart of Gold’ ให้ “ความเด่นลอย” ของเสียงหลักที่ถูกจำแนกแยกออกมาจากพื้นเสียง ทั้งๆ ที่ “พื้นเสียง” นั้นก็ดูจะชัดเจนขึ้นกว่าธรรมดา จนสามารถรับฟังได้ถึงรายละเอียดเสียงเล็กๆ น้อยที่แม้จะแผ่วเบาแต่ก็ชัดเจน ให้ความเด่นลอยตัวหลุดออกมา เสียงทุกเสียงที่รับฟังมีความสว่าง “กระจ่าง” ขึ้น สำแดงถึงความฉับพลันทันใดของเสียงที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก เสียงแต่ละเสียงมีน้ำหนัก ไม่เบาโหวงเหวง ลอยเวิ้งว้าง ความผุดโผล่ของเสียงแต่ละเสียง อุบัติขึ้นอย่างมีตัวตน ตำแหน่งแห่งที่ชัดเจน ในขณะที่ช่วงย่านเสียงต่ำก็รับรู้ถึงน้ำหนักเบสที่ใหญ่ ทรงพลัง ให้เรี่ยวแรงปะทะ และแผ่บาน-กระจายตัว มีจังหวะจะโคนที่ชัดเจน
ในด้านอิมเมจและซาวด์สเตจนั้นขอเน้นว่า ‘Heart of Gold’ ทำได้ “ตราตรึงใจมาก” แม้ในเสียงที่เกิดขึ้นซ้อน-แทรกพร้อม ๆ กัน ก็ยังสามารถจับตำแหน่งของแต่ละเสียงนั้น ๆ ได้ ไม่ถูกบดบัง หรือกลบเกลื่อนจนเลือนหาย (กลมกลืน) ไป ยังคงดำรงไว้ซึ่งความชัดเจน สดใส สามารถเปิดเร่งระดับความดังเสียงที่รับฟังอยู่นั้นได้มากขึ้น-มากขึ้น โดยที่มิได้รู้สึกอึดอัดรำคาญหรือหนวกหูแต่อย่างใด อาณาบริเวณเสียงแยกเป็นปริมณฑลชัดเจน ความลึก-ความกว้างบ่งบอกได้น่าทึ่งมาก น้ำเสียงให้ความข้นโดยที่เสียงไม่ขุ่น-ทึบ รายละเอียดเสียงแจ่มชัดมาก
จากคะแนนความประทับใจแบบเต็มร้อยของ ‘Heart of Gold’ มาสู่ความประทับใจแบบเทใจให้เกินร้อยของ “Heart of Gold Faraday’s Cage” ซึ่งด้วยความเป็นรุ่นสูงสุดสำหรับสายสัญญาณ Black Diamond Series ที่จริงๆ แล้วเป็น Specially Quad-Shielded With ‘Faraday’s Cage’ ของ Black Cat HiFi ส่งผลให้ความสงัดดีกว่ามากๆ ชิ้นดนตรีผุดโผล่ขึ้นมามีทรวดทรง บ่งบอกระยะห่างจากกัน ให้ความเหลื่อม ไม่เป็นระนาบแบนราบ…รับรู้เลยว่า เสียงนั้นๆ อยู่ตรงไหน แยกแยะได้ ไม่รวมตัวกันเป็นปึก ให้ความเหลื่อม ไม่ซ้อนทับกัน มีหน้า-มีหลัง แยกแยะความลึก ชนิดที่ว่า ลึกในลึก…อุปมาเหมือนสมัยก่อนใช้กล้องฟิล์ม Mamiya กับ Hasselblad ปรับ asa เท่ากัน รูรับแสงเท่ากัน ค่าความเร็วชัตเตอร์เหมือนกัน แต่ Depth-of-Field ที่ได้ต่างกัน พูดได้เลยว่า “Heart of Gold Faraday’s Cage” ให้ความเป็นเสียงสามมิติอย่างสมจริง บางแผ่นให้ความรู้สึกราวกับเข้าไปอยู่ในห้องบันทึกเสียง นั่งดู-ยืนมองการร้องการบรรเลงการบันทึกเสียงสดๆ ต่อหน้าเรา
…ดนตรีทุกชิ้นราวมีชีวิต มีมิติอยู่ตรงหน้า ความกังวานเป็นระลอกสะท้อน (Reverberation) ก็ให้ออกมาได้รับรู้ ไม่ต้องจินตนาการ ปลายเสียงสูงที่ไปไกลสุดกู่เท่าที่สมรรถนะลำโพงที่ใช้จะบ่งบอกได้ก็ทอดยาวใสกระจ่าง พละพลิ้วสวยงาม ให้อาการค่อยๆ จางหายไปของปลายเสียง (Decay Time) ที่แจ่มชัดมาก ๆ …เนื้อเสียงมีมากขึ้นกว่า ‘Heart of Gold’ ที่ฟังมาก่อนหน้า…
จับสังเกตที่พลังงานของเสียง (Energy) เฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเสียงสูงตอนล่างขึ้นไปจนปลายสุดเสียงสูง รับรู้ได้ชัดเจนจริงๆ ชัดเจนยิ่งกว่าสายสัญญาณแบรนด์ดังที่ผมใช้ประจำการอยู่ “Heart of Gold Faraday’s Cage” ให้ความไหลลื่น+เนื้อเสียงกลมกล่อมและกลมกลืน ฟังระรื่นชื่นใจ รายละเอียดเสียงเรียกได้ว่า ผุดโผล่ ลอยตัวขึ้นมาชัดเจน คอนทราสต์ชิ้นดนตรีที่แผ่วเบากับแผดสั่นสามารถรับรู้ได้ชนิดว่า สมจริง ควบคู่การแยกแยะแถว-ชั้น (Layered) ในวงเวทีเสียงได้เป็นชั้นๆ ไม่ซ้อนกัน น่าทึ่งมาก ความอบอวลของบรรยากาศลอยตัวขึ้นมาเลยครับ ความสงัดก็ดีมาก แน่นอนว่า สงัดกว่า ‘Heart of Gold’ มาก จนชิ้นดนตรีผุดโผล่ โน่น นี่ นั่น แยกแยะกันชัดเจนในวงเวทีเสียง ชิ้นดนตรีที่เบาลงก็ยังคงเห็นลีลา มี Texture ชัดเจน ดนตรีที่ดัง ก็ไม่ข่มชิ้นดนตรีที่เบา ยังคงรับรู้ได้ในทุก ๆ เสียงดนตรี ในความซับซ้อนของเสียงดนตรีจะยังคงแยกแยะความซ้อนทับกันได้ ไม่กลบกลืนกัน
เสียงร้องเป็นคน (จริง ๆ) มากขึ้นกว่าที่เคยฟัง เสียงอักขระสดใส ชัดเจนเป็นเสียงคนที่ให้ความสมจริงมาก เปล่งจากริมฝีปาก จากปอด จากลำคอ ความสงัดที่มากขึ้น แบ็กกราวนด์ นอยซ์น้อยลง อะไรผุดโผล่ขึ้นมาก็แจ่มชัด ระบุตำแหน่งได้เลย…จริงๆ นะครับ มันเป็นเสียงที่ให้ความรู้สึก เป็นเสียงที่ทำให้เรามีส่วนร่วม เป็นเสียงที่บ่งบอกเราว่า มีชิ้นดนตรีอะไรบ้าง วางตำแหน่งอยู่ตรงไหน อะไรเล่นอ่อน-แก่ในลีลา ยิ่งฟังยิ่งอินได้ฟิลลิ่งจริงๆ
ความกังวาน พละพลิ้วนี่ดีมาก ๆ จาก “Heart of Gold Faraday’s Cage” ฟังแล้วได้อรรถรส เสียงเคาะกระทบของคีย์เปียโน (เดี่ยวเปียโน) นี่ดีมาก ๆ มากยิ่งกว่าที่เคยฟังมาทุกครั้ง ชิ้นดนตรีที่เงียบลง ก็ยังมีหางเสียงให้ได้ฟังเป็นเสียงสะท้อนของสถานที่แสดง ยิ่งดนตรีอะคูสติกนี่สุดยอดมาก เสียงค้อนเคาะสายเปียโน เสียงสีไวโอลิน-วิโอลา-เชลโล เสียงดีดดับเบิลเบส เสียงลมพ่น เสียงน้ำลายค้างในแซกโซโฟน เสียงคมๆ ของทรัมเป็ต เสียงระฆัง-เครื่องเคาะจังหวะ เสียงฉาบแกว่งตัว เสียงบาดหู กรีดหัวใจของเครื่องเคาะโลหะ ฯลฯ เสียงกลองทิมปานีที่เริ่มตีเบาๆ แล้วค่อยๆ ดังขึ้น ให้ความรู้สึกแรงสั่นกระพือ เวลาหยุดปุ๊บก็หายปั๊บ พอจังหวะดนตรีชิ้นต่างๆ ประโคมขึ้นมา เสียงกลองทิมปานีก็ยังคงมีพลังอยู่ ช่วงท้ายที่กลองใหญ่ (Big Drum) ปรากฎขึ้นมา-อึ้งนะครับ เพราะเสียงกลองทิมปานีก็ยังมีอยู่-เสียงต่ำไม่ได้ซ้อนทับ ผสมรวมกัน

ตำแหน่งชิ้นดนตรี ตำแหน่งคนร้อง ระบุได้เป๊ะมากครับ แม้กระทั่งยืนเยื้องกัน “Heart of Gold Faraday’s Cage” บ่งบอก Timing ได้แม่นยำมากๆ เสียงคอรัสคลอในเพลงโอเปร่า น่าฟังมากๆ สะอาด ชัดเจน ไม่คลุมเคลือ จำแนกเป็นคนๆ ที่ร้องเสียงต่างคีย์กัน ฟังแค่เบา ๆ ก็ยังได้ครบ ไม่สูญเสียงความสมดุลของโทนเสียง…จริงๆ นะครับ เป็นครั้งแรกที่ผมฟังเสียงก้องสะท้อนของโถงแสดงสดได้ชัดมากๆ จากเพลง Matsuri ของ Kitaro และช่วงกลองไฟฟ้ายังกระหน่ำอยู่ พอกลองใหญ่โคโดะ โดนหวดขึ้นมา เป็นน้ำเบสที่ใหญ่อิ่มแน่นมาก แต่กลองไฟฟ้าก็ยังคงอยู่ให้เราจับได้
แน่นอนครับกับ Body หรือ ทรวดทรงของเครื่องดนตรี ที่ได้รับจาก “Heart of Gold Faraday’s Cage” ให้ความถูกต้องมีความเป็นกลาง ไม่หนา ไม่อวบอิ่ม จนเกินจริงกลายเป็นจริตความชอบ นอกเหนือจากเรื่องของทรวดทรง-ความมีตัวตน (Body ตลอดทั้งช่วงย่านเสียงกลาง ความเข้มข้น+ความฉับพลันของย่านเสียงต่ำที่ควบคุมจังหวะจะโคน (Pace & Time) ได้แม่นยำมาก ฟังแล้วได้อารมณ์ร่วม (Feeling In)…รู้สึกสนุกกับการรับฟัง ความอ่อนโยน ความแข็งกร้าวในลีลาดนตรีที่บรรเลง ฟังแล้วได้อารมณ์ร่วม (Emotional) มากครับ รู้สึกสนุกกับการจับ Mood ของนักดนตรี
จุดเด่นของทั้ง ‘Heart of Gold’ และ “Heart of Gold Faraday’s Cage” นั่นคือ ตัวนำ Graphene ให้ความน่าประทับใจยิ่งนักในความสมจริง มีลมหายใจ (Breathe Taking) มีแรงเด้ง แรงดีด ผ่อนหนักผ่อนเบา เบสที่สมจริง ลึก และมีพลังของการสั่นกระเพื่อม พร้อมกับความลึกที่ให้ลึกกว่า ใสกว่าเป็นชั้นๆ มีหน้ากว่า-หลังกว่าแยกชัดเจน เสียงสูงนั้นไปไกลสุดๆ และให้ความพละพลิ้ว โดยยังรับรู้ได้ถึงมวล (พลัง) เสียงสูง นอกจากนี้ ยังถูกใจ ในความ ‘เป็นกลาง’ (Neutral) อย่างหาตัวจับยาก(ส์) ฟังดูแล้วไม่โอนเอียงไปทางหวานทางฉ่ำ หรือว่า หนาหนึบ ทำนองว่า ดูจะไม่มีจริตเป็นบุคลิกในตัวอะนะครับ
…อีกทั้งเสียงต่ำอันล้ำลึก ซึ่งเป็นพระเอกโดยแท้ หาใดเทียบได้ยากมากๆ เบสมีน้ำหนัก ตึงแน่น หยุดเป็นหยุด มีเป็นมี ทุกอย่างฟังได้กระจ่าง แจ่มชัดสมจริงมาก…สรรพเสียงมันเบ่งบาน-เปล่งปลั่ง (Bloom) และสดฉ่ำ-คมกริบ (Crispy) ในขณะที่ยังให้ความอบอวลของมวลบรรยากาศ การออกเสียงอักขระไม่ต่างจากการมองเห็นอากัปกริยาของปากนักร้อง…บอกกับตัวเองว่า ไม่เคยได้ฟังเพลงบ้านๆ ที่คุ้นเคยตั้งแต่เด็กยันวัยรุ่น แล้วได้อรรถรสเยี่ยมยอดแบบนี้มาก่อน-ไม่โม้นะครับ ของมันฟังพิสูจน์ได้
อย่างไรก็ตาม ต้องขอแนะนำให้เสียบต่อสายกราวนด์ของ “Heart of Gold Faraday’s Cage” ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นเสมือน “กรงฟาราเดย์” (Faraday’s Cage) อย่างสมบูรณ์ โดยต่อตรงลงสายดินจริงๆ มิควรเสียบโดยใช้ขั้ว Ground หรือ Earth ของปรีแอมป์/อินทิเกรตแอมป์ เนื่องเพราะต้องการ Drain ทิ้งสัญญาณไม่พึงประสงค์ทั้งหลายที่ Faraday’s Cage ดักไว้ ให้ลงดินไปโดยเร็ว ไม่ไหลย้อน วนเวียนในอุปกรณ์ (ซึ่งฟังเทียบการเสียบสายกราวนด์ระหว่างด้านต้นทาง เทียบกับด้านปลายทาง-พบว่า เสียบต่อกราวนด์ด้านต้นทางจะให้ความเปิดโปร่งที่ทะลุทะลวงในซาวด์สเตจได้ชัดเจนกว่า รับรู้ความลึกที่ลึกยิ่งกว่าการเสียบสายกราวนด์ด้านปลายทาง)
ทั้งนี้คุณพรเทพได้มีแนวคิดนำเอาหลักการ “กรงฟาราเดย์” (Faraday’s Cage) มาใช้งานร่วมกับตัวนำกราฟีน ในการทำหน้าที่เป็นส่วนชีลด์ (Shielded) เพี่อถ่ายทิ้ง (Drain) คลื่นสัญญาณรบกวนทุกชนิดให้หมดไป โดยส่งผ่านออกมาทางขั้วต่อกราวนด์ลงดิน โดยที่ได้มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับ กระทั่งมาสู่ความเป็น “Heart of Gold Faraday’s Cage” อย่างสมบูรณ์ ซึ่งทั้งวัสดุกราฟีน และกรงฟาราเดย์ ล้วนเป็นแนวคิดที่ก้าวล้ำมากๆ แม้แต่สายสัญญาณของต่างประเทศก็พูดได้ว่า ยังมีน้อยมากๆ…ในฐานะคนไทย ผมจึงปลื้มใจในผลิตภัณฑ์ Black Cat HiFi ที่มี “ของดี” จากแนวความคิดและฝีมือคนไทยให้เรา-ท่านได้ภาคภูมิใจร่วมกัน
สรุปส่งท้าย
สำหรับผมนั้น “Black Diamond Series” เป็นสายสัญญาณที่มิใช่ว่า เมื่อได้ฟังแล้วจะถามว่า ดีขึ้นไหม? ดีกว่าอย่างไร? เทียบอะไรได้บ้าง? แต่นี่คือ สายสัญญาณที่จะถูกถามกลับว่า มีอะไรให้เสียงถูกต้อง-แม่นยำกว่านี้ไหม! ให้ความสมจริงเป็นธรรมชาติเยี่ยงนี้มีไหม! ฟังแล้วชักจูงจิตใจให้เข้าถึงห้วงอารมณ์ร่วมได้ราวกับอยู่ในเหตุการณ์จริงอย่างนี้ได้ไหม! สายอะไรที่ฟังเบาๆ แล้วยังคงได้รับรายละเอียดครบชัด และได้รับความละเมียดละมุนละไม โดยไม่ต้องเสพติดความดัง แต่เมื่อเร่งเสียงดัง ๆ ก็เพิ่มอรรถรสความมันส์ในอารมณ์ โดยไม่สากกร้าน กร้าวร้าว เสียดแทงประสาทหู!
สายสัญญาณ “Black Diamond Series” ไม่ว่าจะเป็น ‘Heart of Gold’ หรือ “Heart of Gold Faraday’s Cage” อาจทำให้ประสบการณ์รับฟังของคุณเปลี่ยนไปตลอดกาล ย้อนกลับไปฟังแบบเดิมไม่ได้อีกต่อไป ทั้งในแง่รายละเอียด ไดนามิก, แรงกระทบ-ปะทะ, อิมเมจ-ซาวด์สเตจ และความอบอวล เอิบอิ่มของมวลบรรยากาศ สมจริงราวกับเสียงสามมิติ
สายสัญญาณ “Black Diamond Series” จะทำให้คุณได้รับฟังเสียงทุกเสียงครบชัด และครบถ้วนในฮาร์โมนิกของทุกช่วงย่านความถี่ จากลึกล้ำต่ำสุดๆ จรดเสียงสูงปลายสุดๆ เท่าที่ลำโพงจะสามารถส่งมอบออกมาได้…คุณจะรับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามีอยู่ในเพลงที่รับฟัง…คุณจะได้ประจักษ์ในบางสิ่งบางอย่างที่เคยถูกซ่อนอยู่ในเพลงที่คุ้นชิน…คุณจะถึงกับอึ้งในโฟกัสชิ้นดนตรีที่มีรายละเอียดของมวลอากาศส่งคลื่นกระทบปะทะมาจนรู้สึกได้ แม้แต่ในช่วงเสียงความถี่สูงๆ รวมถึงเสียงกลางที่มีทรวดทรง และเรี่ยวแรงพลังอันสมจริงเป็นธรรมชาติ ทั้งเนื้อเสียงและหางเสียง ไร้ซึ่งความสาก-กระด้าง-บาดหู เสียงร้องที่พร้อมให้คุณแยกแยะลักษณะจำเพาะของน้ำเสียงได้เป็นธรรมชาติ…ที่สำคัญ ในด้านของซาวด์สเตจนั้น แจ่มชัดยิ่งนักในการระบุตำแหน่งและปริมณฑลเสียง แยกแยะแถวชั้น (Layered) อย่างน่าทึ่ง ตราตรึงใจในมวลบรรยากาศรายรอบ ราวกับว่า You’re there กระนั้น
สรุปประเด็นโดนใจมากๆ จากสายสัญญาณ “Black Diamond Series” ที่ใช้วัสดุตัวนำ Graphene ก็คือ ช่วงย่านความถี่ต่ำ (เสียงเบส) ที่ครบเครื่องทั้งอิ่มเอิบ หนักแน่น ดีดเด้ง ดึ๋งดั๋ง หยุดได้ปุ๊บปั๊บ ฟังสนุกให้อารมณ์มันส์มาก ๆ เป็นเสียงต่ำที่อิ่มแน่น ทรงพลังอันเที่ยงตรง ไม่ใช่คลอเคลียเจือเป็นฐานเบสอยู่ตลอด เรียกได้ว่า ‘มี คือ มี มาคือ มา’ อย่างฉับพลันตรงตามจังหวะจะโคน (อัตราเร่งสูงฉับไวมาก) ส่งแรงสั่นเป็นคลื่นระลอกให้รับรู้ เป็นเสียงเบสที่หยุดเป็นหยุด จังหวะจะโคนเด็ดขาดมาก ไม่ลวงไม่หลอก ไม่แต่งเติม และยังทิ้งทอดลงไปลึกอย่างสมจริง (จริงๆ)
– บางท่านอาจจะคิดว่า อานิสงส์ของเสียงต่ำอย่างที่ว่าข้างต้น คงส่งผลต่อช่วงย่านความถี่เสียงกลางให้มี “บุคลิก” เอิบอิ่ม หนาหนึบ ทว่า Graphene นั้นส่งมอบช่วงย่านเสียงกลางที่จำแนกแยกแยะ เป็นตัวมีตน โดยไม่มีลักษณะของการแต่งเติม “บุคลิกเฉพาะ” แม้แต่น้อย เสียงร้องเป็นเสียงคน (Voice) ออกมาจากคอจากปากสมจริงมาก ไร้ซึ่งความหนาหนึบ หรือ อิ่มอวบ พูดชัด ๆ ได้เลยว่า Graphene ให้ความเป็นกลาง (Neutral) อย่างเที่ยงตรง…ย่านเสียงกลางจึงแม่นยำมาก ๆ อย่างยากที่จะเทียบเคียง
– คุณสมบัติเฉพาะตัวของ Graphene ส่งผลให้ช่วงย่านเสียงสูงไปได้ไกลสุดๆ ปลายเสียงทอดยาวให้ความกังวาน มีพลังเป็นคลื่นระลอกของปลายเสียงรับรู้ได้แจ่มชัด บอกกันตรง ๆ ครับ Graphene ให้ Texture ของเสียงกลางและเสียงสูงออกมาได้ดีมากๆ ยากที่จะหาตัวนำอื่นที่คุ้นเคยมาเทียบเคียง…เป็นเสียงกลาง-สูงที่งดงามมากจริงๆ

– ไม่ว่าจะเป็นเสียงชิ้นดนตรี เสียงนักร้อง ล้วนเป็นลักษณะเสียงที่มีลมหายใจ ผ่อนหนัก ผ่อนเบา มีลีลา มีห้วงอารมณ์ดนตรี (Emotional) รวมถึงเสียงเบสที่แม่นยำสมจริง ทอดลึก และเปี่ยมพลัง มีแรงเด้ง แรงดีด มีพลังของการสั่นกระเพื่อม พร้อมกับความลึกที่ลึกกว่า (ลึกในลึก) จำแนกแยกเป็นชั้นๆ มีหน้ากว่า-หลังกว่า รับรู้ชัดเจน ปากเป็นปาก แทบจะเห็นลีลาการห่อปาก อาการจีบปากจีบคอของนักร้องเพลงโอเปร่า ฟังได้อรรถรสมาก (จากที่ผมไม่ชอบฟังโอเปร่าเลย แต่ Graphene ดึงดูดให้ผมฟังได้อย่างไม่เคยคาดคิด นี่คือ ความจริง) ใครที่ฟังเพลงคลาสสิกจะฟิลและอินมาก โดยเฉพาะเพลงที่ซับซ้อนจะถูกใจในการจำแนกแยกแยะเป็นพิเศษ (เดี่ยวเปียโนนี่น่าฟังมากๆ)
– ในด้านการถ่ายทอดบรรยากาศ (Atmoshere) ส่งมอบสภาพโอบล้อมได้ดีมาก รับรู้ถึงมวลอากาศได้ชัดเจน (ถ้าบันทึกใส่มา อย่างเช่นสังกัด RR, OPUS3, Prophone/Proprius เป็นต้น)
– ประเด็นอิมเมจ/ซาวด์สเตจ สายสัญญาณ “Black Diamond Series” ถ่ายทอดความลึกได้เป็นชั้นๆ ให้ความโปร่งโล่งทะลุ (Transparency) และวางตำแหน่งชิ้นดนตรีที่อิสระ มีปริมณฑล และลอยตัว จับอาการเคลื่อนไหวของนักดนตรีในขณะกำลังเล่นได้เลยทีเดียว (แนวแจ๊ส และคลาสสิคจะชัดเจนมาก) รวมไปถึงการให้ความชัดลึก-ชัดตื้นที่ไล่ระดับ มีตื้นกว่า ลึกกว่า รับรู้ได้ ตำแหน่งเสียงในซาวด์สเตจ มันเป็นอิสระ และ ลอยตัว ให้ท่วงท่าพละพลิ้ว
โดยสรุป วัสดุตัวนำ Graphene ส่งมอบไดนามิก ที่ฉับไวมาก มากกว่าสายตัวนำโลหะเท่าที่ได้เคยฟังมา ทำให้คาบเวลา (Timing) ของชิ้นดนตรีแม่นยำมาก ส่งผมต่อความแม่นยำในการบ่งบอก Timbre ที่เป็นเสียงจำเพาะของเสียงร้องแต่ละบุคคล และเสียงดนตรีของแต่ละประเภท ทั้งยังให้ความสงัดดีมากๆ พื้นเสียงเงียบ ชิ้นดนตรีลอยตัว มีชีวิตชีวา มีลีลา ให้ความรู้สึกรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวของนักดนตรีขณะเล่นชิ้นดนตรี ยิ่งเร่งเสียงดัง (กว่าที่เคยฟัง) ยิ่งให้ความรู้สึกสนุก มันส์ในอารมณ์ โดยไม่มีอาการแยงหู หนวกหูเลย
– บอกตามตรงจากใจ ยิ่งฟังยิ่งถูกใจ ในลักษณะเฉพาะของวัสดุตัวนำ Graphene ที่ออกเป็นกลาง (Neutral) ฟังดูแล้วไม่โอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง (ขอใช้ทำนองว่า ดูจะไม่มีจริตเป็นบุคลิกในตัว)
– “Graphene นับเป็นบรรทัดฐานใหม่ของตัวนำสัญญาณ ที่จะทำให้คุณหลงรัก มิใช่หลงทาง”
ขอทิ้งท้ายไว้สักนิด คอไฮ-เอนด์ น่าจะถูกใจแน่ครับกับสายสัญญาณ “Black Diamond Series” ของ Black Cat HiFi…ถ้าคุณอยากฟังของจริง (เสียงจริง) เพื่ออ้างอิง!! “ชิ้นดนตรีไหนอ่อนช้อย มันก็เป็นอย่างนั้น ชิ้นดนตรีไหน แรง-เร็ว มันก็ตามนั้น และ ไม่มีอะไรถูกกลบจมกลืนไป แม้แต่เสียงสูดลมหายใจของนักร้องนักดนตรี…”
ขอขอบคุณ Black Cat Hi-Fi ที่ได้เอื้อเฟื้อสายสัญญาณ Black Diamond Series : Heart of Gold และ Heart Of Gold “Faraday’s Cage” มาให้ได้ทดสอบกันในครั้งนี้ *อนึ่ง ขออนุญาตแจ้งราคา และโปรโมชั่นพิเศษ (โค้งสุดท้ายถึงเดือนกรกฎาคมนี้) ครับ*
1. สายสัญญาณรุ่น Black Diamond Series : Heart of Gold ‘Faraday’s Cage’ MK3 Quad Shields ตัวนำกราฟีนความยาวมาตราฐาน 1.25 m สาย RCA ราคาคู่ละ 40,000 สาย XLR ราคาคู่ละ 45,000 บาท
2.สายสัญญาณรุ่น Black Diamond Triple shields ตัวนำกราฟีนความยาวมาตราฐาน 1.25 m สาย RCA ราคาคู่ละ 35,000 บาท สาย XLR คู่ละ 39,000 บาท
3. สายสัญญาณรุ่น Heart Of Gold ตัวนำกราฟีนความยาวมาตราฐาน 1.50 m สาย RCA ราคาคู่ละ 45,000 บาท
4. สายสัญญาณรุ่น Heart Of Gold faraday’cage ตัวนำกราฟีนความยาวมาตราฐาน 1.50 m สาย RCA ราคาคู่ละ 55,000 บาท สาย XLR ราคาคู่ละ 50,000 บาท
# ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 กรกฎาคม 2568 #
สนใจสั่งจองโทรศัพท์/ไลน์ 081-342-1086 คุณพรเทพ (Black Cat HiFi)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..