What’s Executive? : คุณเชิดเกียรติ ไชยงาม ในนาม “โจ้ Sound Box”

0

What’s Executive?

คุณเชิดเกียรติ ไชยงาม ในนาม “โจ้ Sound Box”

DSC_0093

บุรุษหนุ่มไฟแรงที่มี “มาด” ในแบบฉบับเฉพาะตัว ชื่นชอบการขับรถเร็วและแรงเป็นชีวิตจิตใจ พอๆ กับการดำเนินชีวิตผูกพันกับความเป็นผู้ค้าอุปกรณ์เครื่องเสียงมาแทบจะครึ่งค่อนวัย ผ่านแบรนด์ดังมาหลายต่อหลายแบรนด์ ผ่านความพลิกผันมาก็มากครั้ง แต่เขาก็ยังคงเป็นเขามากระทั่งทุกวันนี้ กับแนวทางที่ทุ่มเทความจริงใจให้กับลูกค้าและงานที่ทำเสมอมา จนสามารถสร้าง “มวลชน” ที่นิยมในความเป็นตัวตนของเขาจำนวนมิใช่น้อย ภายใต้ชื่อกลุ่มว่า Sound Box Club

เขามีความคิดลึกๆ เยี่ยงใดในจิตใจ เขาผูกพันอย่างไรกับ Sound Box ? ทำไมเขาจึงตั้งชื่อบริษัทว่า Sound Box ? ย่างก้าวต่อไปของ Sound Box Club จะเป็นเช่นไร ? มีอะไรซ่อนอยู่ในความหมายของคำว่า Hi-End Audio Boutique ที่เขานำมาใช้ขยายความต่อท้าย Sound Box ณ ปัจจุบัน ? ขอเชิญท่านทั้งหลายร่วมหาคำตอบกันจากนี้ไปครับ

 

WHAT HI-FI? : ก่อนอื่นรบกวนขอทราบถึงความเป็นมาของคุณโจ้ ที่ได้ก้าวเข้าสู่วงการนี้สักเล็กน้อยครับ และทำไมถึงได้เลือกที่จะตั้งชื่อร้านว่า Sound Box?

คุณโจ้ Sound Box : จริงๆ เลยเป็นความชอบส่วนตัวเกี่ยวกับการฟังเครื่องเสียง เพราะผมเคยเป็นคนนอกวงการนี้มาก่อนแรกๆ เลยผมก็เหมือนคนอื่นๆ ทั่วไปที่ซื้อหนังสือเครื่องเสียงยุคเก่าหน่อยในสมัย 10-20 ปีก่อนมาติดตามอ่านเพื่อหาความรู้ในด้านนี้ อาทิ เช่น นิตยสารไฮ-ไฟ สเตอริโอ, สเตอริโอ และ WHAT HI-FI? ซึ่งนักเขียนในสมัยนั้นก็จะมีการเขียนอธิบายว่าเสียงนั้นเป็นแบบนั้น เสียงนี้เป็นแบบนี้ ตัวผมเองก็เลยอยากรู้อยากลองว่า ไอ้เสียงที่เขาพูดกันว่า “ดี หรือไม่ดี” มันเป็นยังไง?

ก็ได้ไปเดินตามร้านขายเครื่องเสียง และงานเครื่องเสียงที่จัดต่างๆ นานา ปรากฏว่า ในขณะนั้นตัวผมเองที่ทำงานอยู่ในวงการขายข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงทั้งหลาย โดยเฉพาะนาฬิกา…กลับรู้สึกว่าตัวเราไม่ได้ชอบในสิ่งเหล่านี้ เนื่องจากมันฟังไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจขาย “นาฬิกาที่ตัวเองสะสมอยู่ แล้วนำเอาเงินก้อนดังกล่าวมาซื้อชุดเครื่องเสียง” ตามรุ่นที่นิตยสารต่างๆ รีวิวไว้ว่ามีศักยภาพเสียงที่ดี

เพราะว่า ในตอนนั้นผมไม่มีความรู้ในด้านนี้เลยแม้แต่น้อย ต่อสายก็ยังไม่เป็น ดังนั้นชุดเริ่มต้นของผมตามภาษามนุษย์เงินเดือนก็จะเป็นแบรนด์ที่ราคาพอหยิบจับได้ตามฐานะ เช่น Harman/Kardon และ Yamaha หลังจากนั้นพอเก็บเงินได้บวกเข้ากับการขายของสะสมเพิ่มก็ได้ขยับมาเล่นแบรนด์ที่สูงขึ้นอย่าง Mark Levinson, VTL, Goldmund, Jadis และ Krell ซื้อมา- เทรดไปสลับไปสลับมาเรื่อยๆ

ต่อมาพอศึกษามากเข้าๆ จากการอ่านรีวิวตามหนังสือ (เก็บสะสมนิตยสารเหล่านั้นไว้ 200-300 เล่ม เรียกว่า อ่านบ่อยจนหมึกเลอะติดมืออยู่เสมอๆ) ก็เลยพยายามออกตามหาเครื่องรุ่นนั้นรุ่นนี้ที่เขาว่าเสียงดีกันไปเรื่อยๆ ซึ่งพอหลังๆ มาก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยใช่เท่าไหร่…

พอติดการเล่นเครื่องเสียงมากๆ เข้า ก็เลยไม่ค่อยอยากทำงานในสายงานเดิม ประกอบกับมีร้านเครื่องเสียงที่รู้จักกันมา ชื่อร้านว่า “นิวเทคนิค” ชวนให้ผมไปทำงานด้วย เนื่องจากเห็นว่า ผมซื้อเครื่องเสียงบ่อยเข้าๆ น่าจะชอบด้านนี้จริงๆ แม้ว่าจะได้เงินน้อยกว่างานเดิมเยอะมากๆ แต่ผมไม่ได้ใส่ใจในจุดนั้นเลย ตัดสินใจจากความชอบล้วนๆ จะมีกิน ไม่มีกิน ไม่สนใจ นั่นคือ จุดเริ่มต้นที่ผมได้เข้ามาในวงการเครื่องเสียงกินเวลากว่า 16-17 ปี ก่อนที่จะผันตัวมาเปิดร้านของตัวเอง…

ในระหว่างช่วงที่ทำงานอยู่ร้านเครื่องเสียงนั้น ตัวผมเองไม่ได้อยู่ได้เพราะเงินเดือนกับค่าคอมมิชชันหรอกนะครับ แต่กลับเป็นทิปจากลูกค้าที่ให้เราเข้าไปบริการ ซึ่งกว่าจะได้เข้าไปทำในจุดนี้ได้ ต้องแลกกับการขายเครื่องเสียง เพื่อเอามาเลี้ยงเหล้ารุ่นพี่เป็นเดือนๆ จนเครื่องที่มีอยู่จะหมดเอา (555) จึงได้เข้าไปเรียนรู้ในจุดนี้ และก็ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในด้านการต่อสาย, การเซ็ตเครื่อง และเทคนิคต่างๆ ติดตัวมาบ้าง แต่ผมก็ยังถือว่า ตัวเองฟังยังไม่เป็น ณ ตอนนั้น

จนมาถึงยุคที่ร้านเครื่องเสียงที่ทำอยู่ปิดตัวลงก็เลยตกงาน พอผ่านไปสัก 2 อาทิตย์ ก็มีลูกค้าเก่าโทรศัพท์มาถามว่า ตอนนี้คุณโจ้ ไปทำอะไรยังไงที่ไหนต่อล่ะ พร้อมกับแนะนำว่า ให้ลองเปิดร้านขายเครื่องเสียงเองดู เพราะว่า ก็พอมีความรู้ความสามารถอยู่บ้าง ผมก็เลยเดินหาทำเลเพื่อจะทำร้านวันหนึ่งๆ เป็นสิบกิโลฯ จนมาได้อาคารพาณิชย์ หลังโรงงานที่ซอยลาดพร้าว 101 จึงได้เปิดมาเป็นร้านเล็กๆ โดยเริ่มจากการนำเครื่องมือสองของตัวเองมาขาย และก็มีเครื่องของลูกค้าที่มาฝากวางปนอยู่บ้าง

ซึ่งชื่อที่ใช้ตอนแรกเลย ก็คือ “Music Box” ใจจริงๆ จะใช้ “Sound Box” แต่พอไปสั่งตัดสติ๊กเกอร์ ทางร้านดันทำมาให้เป็น “Music Box” แล้วก็ยังดันไปตรงกับลิขสิทธิ์ของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง Grammy พอดีเลย จึงได้เปลี่ยนเป็น “Sound Box” มีความหมายประมาณว่า “กล่องเสียงมหัศจรรย์” ประมาณนั้น พอทำมาได้สักพักก็มีคนแนะนำมาให้ไปลองดูงานเครื่องเสียงที่ต่างประเทศอย่าง จีน หรือ ฮ่องกงดู ก็เลยลองไปศึกษา แล้วก็ได้หิ้วเครื่องเสียงกลับมาฟังเองบ้าง เอามาขายบ้าง แล้วพอมีร้านของตัวเอง ตัวผมเองก็ได้ลองเล่นเครื่องหลากหลายมากขึ้น เรียนรู้เทคนิคต่างๆ เยอะขึ้น ทั้งในเรื่องของเซ็ตอัพ และจูนเสียง จนมีความรู้ติดตัวมากขึ้น เรียกว่า “เป็น” ในระดับหนึ่ง

หลังจากหมดสัญญากับที่เก่าก็เลยได้ย้ายออฟฟิศมาอยู่ที่ซอยลาดพร้าว 52 เริ่มมีการคละเครื่องแบบเก่า กับใหม่มากขึ้น เพราะว่าลูกค้าต้องการเล่นเครื่องมือหนึ่ง แล้วเรียกร้องเข้ามา นี่เองเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมเรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องใหม่ๆ แต่ตอนนั้นผมยังไม่มีระบบ Shipping เป็นของตัวเองเลย ต้องไปติดต่อให้คนอื่นช่วยนำเข้า และสั่งของเข้ามาให้ จนพอมาเจอสินค้าแบรนด์ Acoustic System ของทาง แฟรงค์ ชาง ที่ทำให้ผมเป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งผมเองเป็นคนที่ชอบจับสิ่งเล็กๆ มาทำอยู่แล้ว เลยเข้าทางพอดี (หัวเราะ)

 DSC_0066

WHAT HI-FI? : แนวทางการดำเนินงานของ Sound Box วางไว้เป็นเช่นไรครับ และมีการให้บริการด้านใดบ้าง?

คุณโจ้ Sound Box : บางทีผมไปบ้านลูกค้าแต่ขายของไม่ได้เลยก็มีนะครับเชื่อรึเปล่าล่ะ เพราะว่าการที่ผมจะแนะนำสินค้าตัวไหนให้กับลูกค้าได้อย่างถูกต้อง ผมต้องศึกษาซิสเต็มของลูกค้าให้ได้ก่อนว่า มีแนวเสียงเป็นอย่างไร? ขาดอะไรตรงไหน? มีข้อด้อยอะไรบ้างในตัวเครื่องที่ใช้อยู่? เนื่องจากบางครั้งผมไม่อยากจะแนะนำให้ลูกค้าซื้อสินค้าของผมไปเป็นตัวแก้ไข หรือเติมลงไปใน System ที่มีข้อด้อยอยู่ ถ้าไม่แก้ตั้งแต่จุดเริ่มของปัญหา เติมอะไรลงไปก็ไม่ดี เดี๋ยวต้องเพิ่มโน่นนี่นั่นอยู่ตลอด ดังนั้นผมจึงกล้าพูดได้เลยว่า สินค้าที่ผมเลือกมาแต่ละชิ้น Matching กับอะไรก็ได้ดีหมด ด้วยการที่ผมเลือกมาอย่างดี ให้ความสำคัญที่สุดในเรื่องของ Tonal Balance โดยรวมแล้วผมเลยเน้นไปทางด้านการบริการ (Service) เป็นหลัก มากกว่าจะเน้นขายของครับ

 

WHAT HI-FI? : Sound Box มีสินค้าแบรนด์อะไรบ้างครับ ที่กำลังทำตลาดอยู่ในปัจจุบัน?

คุณโจ้ Sound Box : หลักๆ เลย มี Sugden ที่เป็นแอมป์ และซีดี, Bergman ที่เป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียง, Nat Audio ที่เป็นแอมป์ และสายไฟ, Symphonic Line ของเยอรมัน ที่ทุกตัวเกี่ยวข้องกับ Class A ทั้งหมด, สาย Tellurium Q ที่เป็นสายที่ไม่ได้ราคาแพงสุดกู่ แค่ 7 พันกว่าบาท ก็สามารถทำให้คนฟังขยับเท้าตามได้, สาย Van Damme ที่เป็นเกรดทั่วไปแต่คุ้มค่า คุ้มราคา และล่าสุดกับลำโพงของ Graham Audio …แต่ที่ทำให้ผมเป็นที่รู้จักและยอมรับ กระทั่งอยู่มาได้จนทุกวันนี้ก็คือ Acoustic System ครับ

 DSC_0062

WHAT HI-FI? : สินค้าที่ทาง Sound Box กำลังทำธุรกิจอยู่นั้น โดยทั่วไปในทัศนะของคุณโจ้ แต่ละแบรนด์มี “จุดเด่น” แตกต่างกันอย่างไรครับ?

คุณโจ้ Sound Box : แตกต่างกันเยอะครับในแต่ละแบรนด์ เพราะว่า ผมจะเลือกเอาแบรนด์ที่มีชื่อเสียง มีประวัติในตลาด และแบรนด์เก่าที่ตัวเองมีเครื่องอยู่มาเปรียบเทียบกันก่อน ประมาณสัก 10 แบรนด์โดยการฟัง ซึ่งถ้าแบรนด์ใดที่ทำให้ผมฟังแล้วเกิดอารมณ์ร่วมได้ แบรนด์นั้นถึงจะได้รับเลือก เสียงทองเหลืองต้องเป็นทองเหลือง เสียงเคาะหัวไม้ต้องเป็นหัวไม้ แต่ไม่ต้องถึงขนาดว่า คนตีกลองเคาะอยู่ตรงนั้นที ตรงโน้นที แค่ขอให้ถ่ายทอดออกมาให้ผมรับรู้ได้พอ

อีกอย่างวิธีการการเลือกสินค้าของผมที่แตกต่างจากเจ้าอื่นๆ อย่างชัดเจนเลย ก็คือ “ผมไม่ได้เลือกจากสเปค” ถ้ายกตัวอย่างความแตกต่างในการเลือก ก็จะเป็นดังนี้ Sudgen เลือกจากการที่เป็นแอมป์ที่ติดระดับท้อป 10 ของยุโรปมาโดยตลอด 50 ปี เป็นเจ้าแรกๆ ที่ทำแอมป์ Class A เริ่มต้น แถมเป็น Full Time อีกด้วย แต่พอเป็นแอมป์หลอด Single End Class A แล้วกำลังมันก็จะน้อยขับลำโพงใหญ่ๆ แล้วเนื้อหาย ดังนั้นผมก็เลยต้องหาแอมป์ยักษ์ แบบ Military Grade ที่ใช้ในวงการสื่อสารทางการทหารมา ก็เลยได้มาเป็นแอมป์จากแบรนด์ Nat Audio

หลักๆ เลยคือ เลือกให้ได้ หาให้เจอในสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ ต่อมาพออยากได้แอมป์ Class A กล้ามโต ก็เลยไปได้ Symphonic Line ที่มีความคล้ายคลึงกับ Sugden ที่เน้นวงจรให้สั้น ลดทอนการสูญเสีย มาทางสาย และลำโพง Tellurium Q ก็มาในแนวทางการเลือกเดียวกัน คือ เน้นง่ายๆ ที่ไม่ให้เฟสหักล้างกันมาก เน้นให้มีเนื้อ กลมกลืนกลมกล่อม ไม่ได้ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ส่วนสุดท้ายก็มาที่ Acoustic System ก็เน้นเรื่องเฟสของเสียงเป็นหลักเช่นเดียวกับแบรนด์อื่นๆ

โดยแบรนด์ทั้งหมดนั้นผมจะเลือกให้เอื้อต่อกัน ไปในทิศทางเดียวกัน…บางงานเครื่องเสียงใหญ่ๆ ในต่างประเทศ ผมก็ไม่ได้ไปเยี่ยมชม หรือเลือกสินค้าจากในงาน ดูจากโบรชัวร์ หรืออ่านข่าวเอาก็พอ แล้วใช้เซนส์ (Sense) กับประสบการณ์ที่สั่งสมมาในวงการเลือกเอา สมัยก่อนสั่งเข้ามา 10 แบรนด์ ผมพลาดไป 9 แบรนด์ แต่ปัจจุบันสั่ง 10 จะพลาดแค่ 1 เท่านั้นแต่ถ้าหากไปเลือกโดยฟังที่งานใหญ่ๆ มันมีหลายปัจจัยที่จะทำให้เสียงที่ออกมาไม่ดี แล้วเราก็จะไม่รู้ว่าปัญหานั้นมันเกิดที่อะไร?

 DSC_0092

WHAT HI-FI? : สินค้าส่วนใหญ่ที่ทาง Sound Box ทำอยู่เวลานี้ จะเป็นของทางยุโรป ทำไมคุณโจ้ จึงเน้นผลิตภัณฑ์ที่มาจากทางแถบนี้ครับ?

คุณโจ้ Sound Box : ณ ตอนนี้ ใช่ครับ ผมชอบวัฒนธรรมประเพณีของเค้าที่มีความลึกซึ้งดี ละเอียดอ่อน ไม่โฉ่งฉ่าง ไม่ว่าจะเป็นเดนมาร์คเอย ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ หรืออะไรก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น แอมป์หลอด NAT ที่หลายๆ คนดูถูกว่า ทำมาจากประเทศที่ไม่มีการพัฒนา ในแถบยูโกสลาเวีย-เซอร์เบีย-เช็ค อะไรพวกนั้น, เศรษฐกิจก็ไม่ดี แถมยังรบกันอยู่ตลอดยังไม่จบสงคราม แล้วอย่างนี้จะทำสินค้าออกมาดีได้อย่างไร?

ผมกลับมองว่า แบบนี้สิดี เพราะพวกเขาคลุกคลีคุ้นเคยอยู่กับเทคโนโลยีสื่อสารของการทหาร ยิ่งรบกันเยอะ เทคโนโลยีที่เอามาแข่งกันในการรบยิ่งต้องพัฒนาต่างหาก…อีกหนึ่งสาเหตุที่ผมไม่เลือกสินค้าจากทางฝั่งอเมริกาก็เพราะ ส่วนมากแบรนด์ทางฝั่งนี้แทบไม่ได้ผลิตคิดค้นอะไรขึ้นมาเองเลยสักอย่าง จ้างแต่ประเทศอื่นผลิต แล้วนำกลับมาตีตราขายแพงๆ เท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วผู้บริโภคก็ควรจะคิดได้แล้วว่า “เราจะจ่ายแพงกว่าทำไม” จริงรึเปล่าครับ? ในทางกลับกันอะไรที่อเมริกาทำเองราคาก็ยิ่งโดดไปไกลซะสุดกู่เลย

 

WHAT HI-FI? : มีแบรนด์เครื่องเสียงใดที่คุณโจ้ รู้สึกถูกใจ หรือชื่นชอบเป็นพิเศษบ้าง? รบกวนช่วยบอกเหตุผลประกอบด้วยครับ?

คุณโจ้ Sound Box : ความจริงแล้วผมก็ชอบทุกแบรนด์ที่ถืออยู่ตอนนี้ละครับ เพราะเลือกมาอย่างพิถีพิถัน และสอดคล้องกัน ส่งเสริมกัน ไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน

 

WHAT HI-FI? : ผลิตภัณฑ์ใดที่มียอดจำหน่าย หรือได้รับความสนใจมากที่สุดของทางร้าน Sound Box “Hi-End Audio Boutique” ครับ?

 คุณโจ้ Sound Box : ตอนนี้จริงๆ แล้วยอดจำหน่ายสินค้าทุกแบรนด์ของผมมีความใกล้เคียงกัน เฉลี่ยๆ กันไปซะมากกว่า ยกเว้นแต่ NAT เจ้าเดียวที่จะขายจำนวนได้น้อยกว่าเพื่อน เพราะว่า เรื่องของราคาที่สูงกว่าแบรนด์อื่นๆ ซึ่งแต่ละรุ่นที่ขายออกก็จะเน้นไปที่ตัวราคา 1-2 ล้านบาทขึ้นไปทั้งนั้น แต่สายไฟก็ขายดีพอควรแม้จะเป็นหลักแสนก็ตาม ส่วนมากจะขายออกกับนักฟังที่เน้นฟังเลยไม่ใส่ใจยี่ห้อ

 DSC_0061

WHAT HI-FI? : ในส่วนของห้องฟังที่จัดไว้ให้ลูกค้า หรือผู้ที่สนใจได้ลองฟังคุณภาพเสียงผลิตภัณฑ์ต่างๆ นั้น คุณโจ้พอจะอธิบายคร่าวๆ ถึงหลักการทำห้องฟังของทาง Sound Box ได้ไหมครับ?

คุณโจ้ Sound Box : ไม่ได้มีหลักการเลยครับ ทำให้เหมือนบ้านที่ลูกค้าอยู่ มีหน้าต่าง มีวิวให้ลูกค้าเห็นเหมือนคอนโดฯ เหมือนบ้าน เพราะผมมองว่า มีนักฟังแค่ส่วนน้อยเท่านั้น ที่จะทำห้องฟังแบบจริงๆ จังๆ ขึ้นมาในบ้าน เท่าที่ผมรู้มาในยุโรปก็ไม่ได้เน้นในเรื่องนี้สักเท่าไหร่นัก แต่ละแบรนด์เครื่องเสียงที่เน้นในจุดนี้ และมีสูตรเฉพาะตัวออกมา ผมมองว่า เป็นเรื่องของมาร์เก็ตติ้ง ซะมากกว่าดังนั้นการที่สร้างบ้านขึ้นมาแล้วต่อเติมอะไรให้มากเกิน ผมมองว่า เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น แต่ถ้าหากจำเป็นต้องปรับแต่ง จูนเสียง แก้ไขเพื่อให้ได้รายละเอียดที่ดีขึ้น ผมก็มี Acoustic System ที่ช่วยในจุดนี้ได้

 

WHAT HI-FI? : อนาคตข้างหน้า ในฐานะที่คุณโจ้ เป็นตัวจักรสำคัญของ Sound Box ได้วางแผนคิดไว้ให้ทาง Sound Box มุ่งหน้าไปในทิศทางใดครับ?

คุณโจ้ Sound Box : ยังไม่ได้มีแบบแผนที่แน่นอนครับ แต่ว่าหลักๆ เลย ก็คือ ผมอยากยึดมั่นในการพรีเซ้นต์สินค้า ให้คนฟังอย่างเข้าใจ เน้นศิลปะในการฟังเพิ่มมากขึ้น ไม่ได้เน้นซื้อแต่สินค้าราคาสูงๆ แพงๆ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวเอง เนื่องจากสิ่งที่เครื่องเสียงส่งต่อความสุขให้คนฟังอย่างยาวนานที่สุด ก็คือ ดนตรี แต่คนฟังไม่มุ่งเน้นไปที่ดนตรีเดี๋ยวก็ “ขายทิ้ง” ซึ่งผมไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นครับ

 

WHAT HI-FI? : กับลูกค้า หรือผู้ที่สนใจในการเล่นเครื่องเสียงในบ้านเรา จากประสบการณ์ของคุณโจ้ ณ ปัจจุบัน มีความเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหมครับ?

คุณโจ้ Sound Box : เปลี่ยนแปลงไปมากอย่างมหาศาล เพราะคนในทุกวันนี้ไม่ได้เข้าใจในเรื่องของการฟัง ไม่ได้เข้าใจเรื่องดนตรี การประพันธ์ ไม่สนใจว่าเบอร์นี้ผลิตดี-ไม่ดี สนใจกันแต่รางวัลเป็นหลัก แล้วก็บีบอัดข้อมูลได้สูงสุดขนาดไหน? Resolution สูงเท่าไหร่? ยกย่องแอมป์ตัวนั้นตัวนี้ที่มีกำลังขับสูงเป็นพันๆ วัตต์ลูกค้าซื้อแต่สินค้าราคาสูง เพราะคิดแต่ว่า สินค้าราคาสูงดี เล่นเครื่องแบบแข่งกันอวดกัน ไม่ได้เล่นด้วยความเข้าใจ แต่ใช้เงินเป็นหลัก ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก เนื่องจากสมัยก่อนลูกค้ามีความรู้ มีเวลา มานั่งถกกัน ฟังกันเป็นวันๆ รู้ว่าแผ่นเบอร์ไหนดีไม่ดีอย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางนี้ของลูกค้าในปัจจุบันนั้น เป็นผลดีต่อร้านค้า เพราะขายสินค้าราคาแพงได้ง่ายขึ้น แต่กลุ่มคนเล่นที่มีความเข้าใจมันน้อยลง

 

WHAT HI-FI? : ปัจจุบันสินค้าทางด้าน lifestyle ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น จึงรบกวนขอทราบถึงทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ของคุณโจ้ สักเล็กน้อยครับ?

คุณโจ้ Sound Box : จริงๆ ผมเน้นเรื่องเสียงมาก่อนเป็นอันดับแรกนะครับ ซึ่งมันมักจะเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกันของอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด หรือแบบพกพา อย่างไรก็ตาม สินค้าที่ผมมีแล้วดูว่าจะเข้ากลุ่ม Lifestyle ได้ก็คงจะมีแค่ Acoustic System เท่านั้นเองครับ

 DSC_0053

WHAT HI-FI? : ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่ๆ ดูจะพึงพอใจในความสะดวกสบายที่เทคโนโลยีดิจิตอล ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของเขาได้ทุกที่-ทุกเวลา การใช้เวลามานั่งฟังชุดเครื่องเสียงดีๆ เป็นกิจจะลักษณะเพื่อความผ่อนคลาย หรือเพื่อความบันเทิงดูจะยากขึ้นๆ สินค้าแบรนด์ไฮเอนด์ ที่เดิมทีมี “ตลาด” แคบอยู่แล้ว ก็ดูจะหดตัวมากขึ้น ทำตลาดลำบากขึ้น ในเรื่องนี้คุณโจ้มีความคิดเห็นเช่นไรครับ?

คุณโจ้ Sound Box : เป็นปัญหาของการทำธุรกิจครับ เพราะตอนนี้คนเรามองแต่สเปคเครื่องมากกว่าความเข้าใจจริงๆ โลกโซเชียลมีเดียกำลังบูม นักเลงคีย์บอร์ดก็มีเยอะ เซียนเครื่องเสียงมีเยอะ เอะอะอะไรก็โพสต์ไปเรื่อยเปื่อยว่าได้ใช้แล้วลองแล้ว ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวเองไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจในตัวเครื่องนั้นๆ อย่างเพียงพอเลยด้วยซ้ำผมไม่ได้บอกว่า ตัวผมเองเก่งอะไรมากมาย แต่ทุกครั้งที่ผมจะไปบ้านลูกค้า ผมยินดีที่จะให้คำปรึกษา และแนะนำก่อนเสมอ เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ แต่ถ้าหากลูกค้าไม่อยากจะรับฟัง หรือไม่สนใจผมก็เลือกที่จะปล่อยผ่านไปเช่นกัน เพราะว่า อย่างน้อยคำแนะนำของผมก็น่าจะมีประโยชน์บ้างในฐานะอดีตนักเล่นที่เคยเสียเงินมาก่อน ซื้อเยอะมาก่อน จับอุปกรณ์มาไม่ต่ำกว่าหมื่นๆ ชิ้น (หัวเราะ)

 

WHAT HI-FI? : อยากทราบความคิดเห็นของคุณโจ้ เกี่ยวกับฟอร์แมตของไฟล์เพลงระหว่าง แผ่นเสียง กับไฟล์ High Resolution ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ครับ?

คุณโจ้ Sound Box : (หัวเราะ) ผมไม่ถนัดเรื่องไฟล์เพลงครับ ไม่ถนัดเลยจริงๆ บางทีไฟล์เพลงเค้าอาจจะดีอยู่แล้ว แต่ว่าผมฟังแผ่นเสียงทีไรรู้สึกถูกใจทุกทีเลย สั้นๆ ง่ายๆ แค่นี้ละครับ

 DSC_0051

WHAT HI-FI? : มีคนพูดกันมากเรื่องสภาพเศรษฐกิจและการเมืองในบ้านเราว่า ส่งผลต่อการทำธุรกิจต่างๆให้ซึมเซาไปอีกยาว เพราะคนไม่อยากจะใช้เงินกัน ธุรกิจด้านเครื่องเสียงก็ย่อมได้รับผลกระทบนี้ด้วย สภาพการณ์อย่างนี้ทาง Sound Box โดยเฉพาะคุณโจ้ มีการวางแผนรับมือไว้อย่างไรบ้างครับ?

คุณโจ้ Sound Box : ผมว่ามีผลกระทบไม่มากก็น้อยต่อคนทำธุรกิจทุกๆ คนละครับ แต่ถ้าถามถึงกลุ่มคนเล่นเครื่องเสียงก็ยังมีลูกค้าที่ซื้อเครื่องตามปกติอยู่ ซึ่งผมก็อยากให้ทุกๆ คนหันมาผ่อนคลายเรื่องเครียดๆ ด้วยการฟังเพลงกัน ถ้าหากซื้อตัวแพงไม่ได้ หรือว่ายังไม่อยากซื้อ ก็หาเอาสิ่งที่ตัวเองมีอยู่มาปรับเปลี่ยน ปรุงแต่ง จูนเพิ่มเล็กๆ น้อยๆ ให้มันดีขึ้นแทนก็ได้ครับ

 

WHAT HI-FI? : ปิดท้ายกันตรงนี้ คุณโจ้มีอะไรจะฝากไว้ไปถึงท่านผู้อ่าน และทางลูกค้าไหมครับ?

คุณโจ้ Sound Box : ร้าน Sound Box ของผม เปิดขึ้นมาเพื่อทำธุรกิจก็จริง แต่ก็อยากให้ลูกค้าได้ลองมาสัมผัสว่า สิ่งที่เป็นดนตรี สิ่งที่ผมต้องการนำเสนอ สิ่งที่ผมกำลังพูดถึง มันเป็นแบบไหน? อย่างไร? ยินดีต้อนรับให้ทุกคนเข้ามาสัมผัส เข้ามาพิสูจน์ว่า แต่ละสิ่งที่ผมพูดออกไปนั้น เป็นความจริง หรือไม่? หรือต้องการให้ผมไปสาธิตให้ดูที่บ้าน และเซ็ตอัพ ไฟน์จูน ระบบให้ก็ยินดี นอกจากนี้ผมอยากที่จะให้คนเลือกซื้อเครื่องที่ความจริง ไม่ได้ดูที่สเปคอย่างเดียว อย่ายึดติดกับรางวัล และการตลาดมากเกินไป เพราะทุกเครื่องทุกยี่ห้อที่ทำออกมานั้นมีศักยภาพที่ดีทั้งนั้น แทบจะได้รับรางวัลเกือบทั้งหมด อยู่ที่ตัวเราจะปรับจูนอย่างไร เพื่อดึงศักยภาพของเครื่องที่แท้จริงออกมาให้ได้มากที่สุดต่างหากครับที่สำคัญ

 DSC_0105

WHAT HI-FI? : ขอบคุณมากครับ สวัสดี