ตำแหน่งตั้งวางเครื่องในซิสเต็ม ควร(ต้อง)สัมพันธ์กับสนามแม่เหล็กโลก

0

…โลกก่อกำเนิดขึ้นมาได้ประมาณ 4,600 ล้านปี สิ่งมีชีวิตเริ่มแรก หรือบรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิต ก็ถือกำเนิดมาบนโลกเมื่อประมาณ 4 พันล้านปี จึงพูดได้ว่า โลกและสิ่งมีชีวิตมีวิวัฒนาการคู่กันมา โลกและสิ่งมีชีวิตล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และเป็นไปตามธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตจึงมีการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในโลก ดังนั้นสิ่งใดๆ ก็ตามที่อุบัติขึ้นตามธรรมชาติ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติบนโลก สิ่งมีชีวิตต่างๆ จึงล้วนคุ้นเคยเป็นอย่างดี และมีพัฒนาการที่สอดคล้องไปกับอุบัติการณ์ต่างๆ สารพัดอย่างบนโลก 

…เป็นที่ทราบกันดีว่า โลกของเรามีแรงโน้มถ่วง เป็นพลังงานลึกลับที่ดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกไว้ให้อยู่บนผืนโลก – ไอแซ็ค นิวตัน (Isaac Newton) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษเป็นผู้ค้นพบแรงโน้มถ่วงนี้ ในปี ค.ศ.1666 และได้ให้คำนิยามต่อแรงลึกลับนี้ว่า “แรงโน้มถ่วง” (Gravitational Force) เป็นครั้งแรก ทั้งนี้ “แรงโน้มถ่วงของโลก” เป็นหนึ่งในสี่แรงหลักของธรรมชาติ (fundamental interactions) ร่วมกับแรงแม่เหล็กไฟฟ้า(Electromagnetic Force), แรงนิวเคลียร์อ่อน (Weak Nuclear Force) และแรงนิวเคลียร์เข้ม(Strong Nuclear Force) 

อะไรคือ แรงโน้มถ่วง ? 

“แรงโน้มถ่วง” คือแรงที่กระทำระหว่างมวล แรงซึ่งดึงดูดวัตถุรอบข้างเข้าสู่จุดศูนย์กลางของตัวเอง และในจักรวาลแห่งนี้ ทุกวัตถุมีมวล ส่งผลให้ทุกวัตถุมีแรงดึงดูดหรือแรงโน้มถ่วงของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นดวงดาวขนาดใหญ่ในกาแล็กซี หรือแม่กระทั่งร่างกายของเรา ถึงแม้ว่าแรงโน้มถ่วงจะเป็นแรงที่เราไม่สามารถรับรู้ได้มากนัก เพราะความเบาบางของแรงที่กระทำต่อเรา แต่แรงโน้มถ่วงเป็นแรงเดียวที่ยึดเหนี่ยวเราไว้กับพื้นโลก แรงโน้มถ่วงไม่มีการลดทอน หรือถูกดูดซับ เนื่องจากมวลใดๆ ทำให้แรงโน้มถ่วงเป็นแรงที่สำคัญมากในการยึดเหนี่ยวเอกภพเข้าไว้ด้วยกัน 

อีกหนึ่งพลังงานลึกลับที่เรา-ท่านไม่สามารถรับรู้ได้มากนัก หรืออาจจะเรียกได้ว่า คุ้นเคย ชินชากับสิ่งนี้ เฉกเช่นเดียวกับแรงโน้มถ่วงก็คือ สนามแม่เหล็กโลก (Magnetosphere) ‘สนามแม่เหล็กโลก’ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าสนใจมานานหลายพันปี เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ทำให้เกิดแรงได้โดยที่เราไม่ต้องออกแรงใด ๆ เพิ่ม จนเมื่อมนุษย์ได้นำพลังของสนามแม่เหล็กโลกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่นในประเทศจีนที่สามารถประดิษฐ์เข็มทิศขึ้นมาใช้ในการนำทางได้เป็นประเทศแรกของโลก  

อย่างที่ใครๆ ล้วนทราบกันดีว่า โลกของเรานั้นมีขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ในทางภูมิศาสตร์ แต่ว่าขั้วแม่เหล็กของโลกนั้นจะอยู่สลับกัน กล่าวคือ ที่บริเวณซีกโลกเหนือนั้นจะเป็นขั้วแม่เหล็กใต้ ที่บริเวณซีกโลกใต้นั้นจะเป็นขั้วแม่เหล็กเหนือ โดยเส้นแรงแม่เหล็กก็จะชี้จากขั้วแม่เหล็กเหนือ ไปยัง ขั้วแม่เหล็กใต้ เหมือนกับแม่เหล็กทั่ว ๆ ไป นอกจากนี้ ขั้วโลกทางภูมิศาสตร์ ก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดียวกับขั้วแม่เหล็ก เพราะขั้วแม่เหล็กโลกนั้นอยู่ห่างจากขั้วโลกทางภูมิศาสตร์ที่เป็นแกนหมุนของโลกประมาณ 10-12 องศา หรือประมาณ 1,300-1,400 กิโลเมตร 

อะไรทำให้เกิดสนามแม่เหล็กโลก ? 

โลกของเรานั้น ชั้นบนสุดคือ แผ่นเปลือกโลกจะมีสถานะเป็นของแข็ง ทำให้เรา-ท่านและสิ่งมีชีวิตสามารถอาศัยและดำรงชีวิตอยู่ได้ สามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ได้ แต่ว่าลึกลงไปในแกนกลางโลกกลับมีสถานะเป็นของเหลวร้อนที่มีการไหลวนตลอดเวลา ซึ่งการไหลวนนี้ทำให้แกนกลางของโลกมีลักษณะการทำงานคล้ายไดนาโม ซึ่งเป็นเครื่องจักรที่เปลี่ยนพลังงานกลให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยใช้หลักการให้ลวดตัวนำเคลื่อนที่ผ่านสนามแม่เหล็ก เพื่อให้เกิดกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำ ซึ่งการผลิตไฟฟ้าของไดนาโมก็จะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กนี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้โลกมีสนามแม่เหล็กเกิดขึ้นนั่นเอง 

นอกจากนี้ นักธรณีวิทยายังเชื่อว่า สนามแม่เหล็กโลกเกิดขึ้นโดยเหล็กหลอมละลายที่เป็นลาวาอยู่ใต้พื้นโลก เมื่อภูเขาไฟระเบิดลาวาที่พวยพุ่งขึ้นแล้วเย็นตัวลงเป็นก้อนหินชนิดต่างๆ และกลายเป็นเปลือกโลกทีละชั้นๆ เปลือกโลกซึ่งก็ประกอบด้วยก้อนหินที่ปนธาตุเหล็กเหล่านี้จึงแฝงไว้ด้วยสนามแม่เหล็ก แรงบ้าง เบาบ้าง อยู่ภายในหินชั้นต่างๆ เหล่านี้ ขณะเดียวกันสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ซึ่งวิวัฒนาการมาควบคู่กับกำเนิดของโลก ต่างก็มีอิทธิผลของสนามแม่เหล็กโลกแฝงอยู่ในทุกๆ อณูของชีวิตอยู่ด้วยนั่นเอง 

ขั้วแม่เหล็กโลกไม่เคยอยู่นิ่ง !! 

ตำแหน่งและขนาดของขั้วแม่เหล็กโลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งเคยมีการบันทึกไว้ว่า ขั้วแม่เหล็กโลกจะเปลี่ยน หรือเคลื่อนตำแหน่งเฉลี่ยปีละ 15 กิโลเมตร อีกทั้งการเปลี่ยนขนาดและตำแหน่งของขั้วแม่เหล็กโลกทั้งเหนือและใต้นั้นเป็นอิสระต่อกัน ซึ่งปัจจุบันนี้ความห่างระหว่างขั้วโลกทางภูมิศาสตร์กับขั้วแม่เหล็กโลกนั้น ขั้วแม่เหล็กใต้อยู่ห่างมากกว่าขั้วแม่เหล็กเหนือ 

ขั้วแม่เหล็กโลกก่อให้เกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติ 

การอพยพย้ายถิ่นของสิ่งมีชีวิตต่างๆ อย่างนก และสัตว์ทะเลอาจจะเพื่อหนีหนาว หนีร้อน หรือเพื่อหาถิ่นที่อยู่ใหม่ที่เอื้อต่อการหากิน และอยู่อาศัย สืบเผ่าพันธุ์ ล้วนเป็นการเดินทางที่อาศัยขั้วแม่เหล็กโลกเหนือ-ใต้ โดยใช้เส้นรุ้ง (Latitude) เป็นตัวกำหนดเส้นทางอพยพ น้อยมากๆ จนอาจจะแค่ว่าเฉพาะสัตว์บกบางชนิดที่ จะมีเส้นทางอพยพในแนวตะวันออก-ตะวันตกแบบตัดขวางโลก โดยใช้เส้นแวง (Longitude) เป็นตัวกำหนดเส้นทางอพยพ อาจจะเพราะต้องอาศัยการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์แทนการใช้แนวสนามแม่เหล็กโลก ทำให้ต้องอพยพกันเฉพาะในเวลากลางวัน ไม่สะดวก-ไม่ปลอดภัยถ้าจะกระทำในเวลากลางคืน ไม่เหมือนการใช้เส้นทางอพยพตามแนวสนามแม่เหล็กโลกที่สามารถกระทำได้ตลอดเวลา 

เรื่องของแสงเหนือ – แสงใต้ (Aurora) ที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติเกิดขึ้นให้เห็นได้เฉพาะบริเวณใกล้ขั้วโลกเหนือ-ใต้ ก็เป็นเพราะสนามแม่เหล็กโลกของเราช่วยกั้น-กรองอนุภาคในอวกาศ อย่างอิเล็กตรอน โปรตอน หรือไอออนอื่นๆ รวมถึงอนุภาคที่มีประจุพลังงานสูงและเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ซึ่งมักถูกปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์ขณะโลกกำลังโคจร อนุภาคเหล่านี้จะเคลื่อนที่มากับลมสุริยะและเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก ซึ่งเมื่อผ่านเข้ามาในชั้นบรรยากาศของโลกในระดับความสูงประมาณ 80 – 1,000 กิโลเมตรจากพื้นดินจะทำให้ก๊าซที่อยู่ในชั้นบรรยากาศเกิดการแตกตัวและปลดปล่อยพลังงานในรูปของแสง มองเห็นเป็นสีต่างๆ ซึ่งสีของแสงที่ปรากฏให้เห็นบนท้องฟ้าจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่าอนุภาคดังกล่าวชนกับโมเลกุลของก๊าซในช่วงระดับความสูงใด รวมถึงชนิดของก๊าซที่พบในชั้นบรรยากาศนั้นๆ ด้วย  

เป็นแสงสีที่มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของก๊าซที่เกิดการแตกตัว โดยที่ออกซิเจนจะให้แสงสีเขียวหรือสีแดง ไนโตรเจนให้สีน้ำเงินหรือสีแดง ฮีเลียมให้สีฟ้าและสีชมพู ดังนั้นแสงสีต่างๆ ที่มองเห็นได้ จึงเกิดจากสีเหล่านี้หรือเกิดการผสมจนเป็นสีที่แปลกไป ทั้งนี้แสงเหนือ – แสงใต้ (Aurora) มีลักษณะเป็นแนวแสงสว่างสีต่างๆ บนท้องฟ้ายามค่ำคืน รูปร่างคล้ายกับม่าน และมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอย่างรวดเร็ว โดยมักเกิดขึ้นในบริเวณที่ละติจูดสูง เช่น บริเวณใกล้ขั้วโลกเหนือ จะเรียกว่า แสงเหนือ (aurora borealis) และบริเวณใกล้ขั้วโลกใต้ จะเรียกว่า แสงใต้ (aurora australis)   

“Schuman Resonance” ก็นับเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากสนามแม่เหล็กโลก ซึ่งมักจะถูกเรียกว่า จังหวะแผ่นดิน และแม้กระทั่งว่า เป็นเหมือนการเต้นของหัวใจของโลก (Earth’s heartbeat) หรือ “ชีพจรของโลก” ซึ่งมีผลต่อจิตใจและพฤติกรรมของมนุษย์ หากแต่มนุษย์ รวมทั้งสัตว์โลก เฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็ล้วนเคยชินต่อ “Schumann Resonances” จนไม่ได้รู้สึกถึงมันเลย !! 

“Schumann Resonances” (ชูมาน์น เรโซแนนซ์) ก็คือ ค่าความถี่สนามแม่เหล็กโลก ค่าความถี่ชูมาน์นเรโนแนนซ์เป็นค่าที่ใช้วัดการสะท้อนของคลื่นไฟฟ้าที่เกิดขึ้น หรือได้รับการกระตุ้นโดยประจุไฟฟ้าในชั้นบรรยากาศที่เรียกว่า ไอโอโนสเฟียร์ ซึ่งจากข้อมูลขององค์การอวกาศสหรัฐฯ (NASA) คลื่นเหล่านี้อยู่เหนือชั้นบรรยากาศชั้นล่างสุด 60 ไมล์ เนื่องจากมีพายุหลายพันครั้งในทุกๆ วินาที ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงจะทำให้เกิดฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ประจำเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนส้อมเสียง (tuning fork) ปรับความถี่ให้กับชีวิตของเรา นั่นคือ มันอยู่เบื้องหลังความถี่ที่ส่งอิทธิพลต่อวงจรชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่เลี้ยงลูกด้วยนมนั่นเอง 

ในปี 1954 ชูมาน์นได้ทำการทดลองและค้นพบว่า ความถี่ของสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้าของโลกนั้นมีค่าเท่ากับ 7.83 Hz เราจึงเรียกค่าที่ได้จากการวัดความถี่สนามแม่เหล็กโลกว่า ชูมาน์น เรโซแนนซ์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สนามพลังแม่เหล็กโลก หรือ Earth’s electromagnetic field นั้นเป็นสนามพลังที่ปกป้องสิ่งมีชีวิตมาตลอด ด้วยความถี่ตามธรรมชาติที่ 7.83 Hz ลักษณะของสนามพลังจะเหมือนกับการกระเพื่อมของหัวใจ ช่วงคลื่นสมองที่ทำให้มนุษย์รู้สึกมีความสุข ผ่อนคลายจะอยู่ในระดับคลื่นประมาณนี้ และคลื่นความถี่ช่วงคลื่นนี้เองที่ใช้ในการสะกดจิต ให้คำปรึกษา การทำสมาธิ หรือจะเป็นการเพิ่มฮอร์โมน (Growth Hormone) ในมนุษย์ ทั้งยังช่วยเพิ่มอัตราการหมุนเวียนของเลือดในสมองด้วย …ฤาษีของอินเดียจะใช้เสียงแทนความถี่นี้คือ เสียงโอม แปลว่า ภาคจำลองของเสียงอันบริสุทธิ์ (incarnation of pure sound) 
 
ทั้งนี้มีผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์มากมายที่พิสูจน์ได้ว่า ร่างกายของมนุษย์เราได้รับอิทธิพลจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ระบบหลักที่ได้รับอิทธิพลจากสนามพลังแม่เหล็กโลก และยังเป็นเสมือนเป้าการโจมตีของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ได้แก่ ระบบประสาท (nervous system) เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนั้นคือ คลื่นและการสั่นสะเทือน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลล้วนเชื่อมโยงและสัมพันธ์กันเป็นระบบถ่ายทอดสัญญาณระหว่างกัน ทั้งโลก ตัวมนุษย์ทุกคน ดวงอาทิตย์ และปรากฏการณ์อื่นๆ ที่เกิดขึ้นในระบบจักรวาลเช่น ดาวเรียงตัวกัน การเดินทางผ่านมาของดาวหาง ดาวเคราะห์น้อยจะชนโลก เป็นต้น 


 
คลื่นพลังความถี่ของสนามแม่เหล็กโลกจะพบได้ที่ไหน ? ส่งผลต่อชีวิตอย่างไร ?  

ปกตินั้น “ชูมาน์น เรโนแนนซ์” จะพบได้ทั่วไปในธรรมชาติ แต่จะมีมากใน ป่า น้ำตก ชายทะเล ในญี่ปุ่นมีงานวิจัยที่พบว่า สนามแม่เหล็กโลกมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์เป็นอย่างมาก งานวิจัยพบว่า คนงานก่อสร้างตึกสูงที่ต้องใช้โครงเหล็กเป็นจำนวนมากในญี่ปุ่น มักป่วยด้วยอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง  นอนไม่หลับ นักวิจัยค้นพบว่า โครงเหล็กที่เป็นแผ่นของตึกทำหน้าที่เป็นฉนวน กั้นพลังงานสนามแม่เหล็กโลกออกไปจากพื้นที่ภายในอาคาร เป็นผลให้คนงานเกิดอาการป่วยเจ็บได้ เมื่อสร้างตึกไปหลายๆ เดือนก็พบว่า  คนงานเหล่านี้เกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดหัว ปวดข้อ โดยไม่ปรากฏสาเหตุ  อาการเหล่านี้ พบอีกในเวลา 30 ปีให้หลัง !! 

ประเด็นนี้เป็นเรื่องน่าคิดต่อไปว่า ทุกวันนี้ผู้คนในสำนักงานทำงานอยู่ในตึกสูงเสียโดยส่วนมาก อาการเจ็บป่วยจำนวนไม่น้อย อาจเกิดจากภาวะพร่องสนามแม่เหล็กโลกก็เป็นได้ นี่จึงน่าจะอธิบายได้ว่า มนุษย์เราเมื่อกลับเข้าสู่ธรรมชาติ หรือไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเทียวตามธรรมชาติ ห่างไกลจากเมืองใหญ่ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน การจราจร การทำงาน และชีวิตที่จำเจ สมองของเราจะเริ่มปรับคลื่นให้มีความผ่อนคลาย หายจากความตึงเครียดได้ 

ปัจจุบันมีการตรวจพบว่า คลื่นนี้มีการเปลี่ยนแปลงแบบผันผวนตลอดเวลา เพราะอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เราสร้างขึ้น ทำให้ Electromagnetic Field (EMF) ที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้นมีมากเกินไป คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เราสร้างขึ้นนี้เองที่ไปหักล้างคลื่นพลังงานความถี่สนามแม่เหล็กโลก ทำให้โลกเสียสมดุลไปมาก 

เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนปี 2014 ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของคลื่นความถี่สนามแม่เหล็กโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยชูมาน์น เรโซแนนซ์ที่เราตรวจพบกับมีค่าความถี่ที่สูงขึ้นจากค่าปกติมาก จากที่ควรจะเป็นในระดับ 7.83 Hz มาอยู่ที่ 15-25 Hz และเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2017 ความถี่ของโลกเพิ่มขึ้นจนถึง 36+ Hz การก้าวกระโดดของระดับความถี่โลกจาก 7.83 Hz เป็น 36+ Hz ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ นั่นหมายถึงว่า ความถี่ของโลกเพิ่มสูงขึ้นกว่า 5 เท่า ระดับความถี่นี้เองคือ ความถี่ที่สร้างความตึงเครียดและกดดันให้กับระบบประสาทของเรา !! 

ความผันผวนของจังหวะชีวิตเป็นเพราะอิทธิพลของชูมาน์น เรโนแนนซ์ ? 
นอกจากนี้ มีแนวความคิดหนึ่งที่มีมานาน นั่นคือ จิตสำนึกของมนุษย์เรา (human conscious) สามารถได้รับผลกระทบต่อพลังงานสนามแม่เหล็กโลก โดยเฉพาะช่วงที่เรามีความตึงเครียด วิตกกังวล หรือแม้กระทั่งมีความต้องการทะยานอยาก ความหลงใหลในสิ่งต่างๆ นานา มากเกินไป หากเราไม่รู้ว่า ชีวิตเราปัจจุบันอยู่ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว เราก็คงไม่รู้ว่าตอนนี้เราผลิตสภาวะจิตสำนึกเช่นนั้นอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาเช่นนี้ สถานการณ์ทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ หรือรอบๆ ตัวเรากลายเป็นเหมือนน้ำมันที่ราดรดเพิ่มการก่อกวนคลื่นมากขึ้นไปอีก ซึ่งเมื่อรวมกันอาจถึงขั้นรบกวนคลื่นแม่เหล็กโลกได้ สังเกตง่ายๆ หลายคนอาจรู้สึกเหมือนเวลาในแต่ละวันสั้นลงไปมาก นั่นคือตัวบ่งชี้สำคัญที่บอกว่า เรารู้สึกถึงการผันผวนของคลื่นรอบๆ ตัวเรานั่นเอง 

ฮวงจุ้ยศาสตร์ที่แก่นแท้นั้นมีต้นกำเนิดมาจากหลักการของธรรมชาติ 

ฮวงจุ้ย (FUNGSHUI) หมายถึง สภาวะแวดล้อม หรือ การอยู่อาศัยให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม ในคติของชาวจีนมีลักษณะใกล้เคียงสถาปัตยกรรมศาสตร์ คำว่า ฮวงจุ้ย มาจากคำว่า ลม(ฮวง)และ น้ำ(จุ้ย) ซึ่งออกเสียงตามสาเนียงจีนแต้จิ๋ว 

แก่นแท้จริงของ “ฮวงจุ้ย” นับเป็นศาสตร์ที่มีต้นกำเนิดมาจากหลักการของธรรมชาติ และอ้างอิงวิทยาศาสตร์ได้ ซึ่งชื่อวิชาก็บ่งบอกได้ชัดเจนอยู่แล้ว คำว่า”ฮวง” แปลว่า ลม และ “จุ้ย” แปลว่า น้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลกอย่างเป็นธรรมชาติ วิชาฮวงจุ้ย มองว่า สรรพสิ่งรอบตัวล้วนแล้วแต่มีพลังงานทั้งสิ้น ศาสตร์วิชาฮวงจุ้ยจะว่าด้วยการดึงพลังเหล่านั้นที่มีอยู่รอบตัวอยู่แล้วเป็นจำนวนมากให้มาเสริมผู้อยู่อาศัย  

โดยพลังนั้นมากับ“การพัดไหลเวียนของอากาศ ที่เรียกว่า “ลม” และความเคลื่อนไหวของ “น้ำ” และแสงสว่าง รวมทั้งพลังจาก “สีสัน” “รูปลักษณ์” และ “ทิศทาง” วิชาฮวงจุ้ยจะพยายามหาทางจัดการให้พลัง ทั้งหมดนี้ มาเสริมกับพลังของตัวบุคคล หรือ ผู้อยู่อาศัย นั่นเอง โดยมีสูตรพลังงานที่ซับซ้อนในการคำนวณรูปแบบของพลังงานที่มาจากแต่ละทิศทาง ทั้งนี้ “ฮวงจุ้ย” นับมีความพิเศษอย่างหนึ่งก็คือ ฮวงจุ้ยเป็นส่วนหนึ่งของปรัชญา และวิธีการที่เป็นพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติของคนจีนที่สั่งสมมาแต่โบราณ จากการสังเกต, ประสบการณ์ และการทดลองใช้งาน ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ฮวงจุ้ยจึงได้รับการกล่าวขานว่าคือ “ศิลปะแห่งการใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ” 

…ก็แล้วที่ว่า ตำแหน่งตั้งวางเครื่องในซิสเต็ม ควร(ต้อง)สัมพันธ์กับสนามแม่เหล็กโลก” ล่ะ 

ผมเพียงแค่กำลังจะบอกว่า (ขออนุญาตยืมคำพูดคุณปกรณ์ พงศ์วราภา อดีตเจ้านายผมในเครือจีเอ็ม มาใช้สักหน่อยอะครับ) …ทั้งหมดทั้งปวงข้างต้นนั้น ผมต้องการจะชี้นำให้ทุกท่านได้เห็นถึงว่า สรรพสิ่งทั้งมีชีวิต-ไม่มีชีวิต โลหะ-อโลหะ ล้วนหนีไม่พ้นจากกรรมที่กระทำ – เอ้ย ไม่ใช่ครับ – ล้วนผูกพันอยู่กับสนามแม่เหล็กโลก หรือพลังงานที่มีอยู่ในโลกตามธรรมชาติทั้งสิ้น 

…มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อนานมาแล้ว มีเหตุอันจำเป็นที่ทำให้ต้องรีบยกโยกย้ายอุปกรณ์เครื่องเสียงในห้องฟังชนิดปัจจุบันทันด่วน เฉพาะอย่างยิ่งแหล่งสัญญาณ – ปรีแอมป์ และเพาเวอร์ แอมป์ จากเดิมที่ตั้งวางอยู่บนชั้นวางข้างๆ ผนังห้องฟัง เอามาไว้ที่แนวตรงกลางห้องฟัง ตอนนั้นคิดกันไว้ว่า จะตั้งแบบนี้ไว้ชั่วคราว …ต่อมา มีเหตุอันจำเป็นอีกครั้งที่จะต้องเปิดใช้งานซิสเต็มเครื่องเสียงในห้องฟังนั้น แต่มิอาจเสียเวลามาทำการยกอุปกรณ์เครื่องเสียงให้มาอยู่ในตำแหน่งข้างๆ ผนังห้องฟังได้อย่างเดิม นั่นทำให้ต้องตัดสินใจเสียบต่อสายสัญญาณ และสายลำโพงแล้วเปิดใช้งานซิสเต็มเครื่องเสียงในห้องฟัง ซึ่งได้ทำให้เรารู้สึกฉงน ระคนแปลกใจว่า ทำไมเสียงที่ได้รับฟังจึงแตกต่าง (เปลี่ยนแปลง) จากแต่เดิมที่เคยรับฟังกัน  

แน่นอนครับ หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ต้องมานั่นคบคิดกันว่า อะไร? ทำให้เป็นเช่นนั้น และทำไม? จึงมีผลลัพธ์แบบนั้น / แล้วเราก็ได้ลองโยกย้ายอุปกรณ์เครื่องเสียงในห้องฟังกลับไปตั้งยังตำแหน่งเดิม (ตำแหน่งข้างๆ ผนังห้องฟัง) กับตำแหน่งใหม่ที่อยู่แนวตรงกลางห้องฟัง เพื่อลองรับฟังเสียงกันให้แน่ใจว่า เปลี่ยนไปจริงๆ – เปลี่ยนแล้ว ส่งผลต่อคุณภาพเสียงให้ดีขึ้น หรือไม่ ? 

นั่นเป็นเหตุการณ์จริงในการค้นพบอะไรบางอย่างโดยไม่ทราบสาเหตุจากความบังเอิญโดยแท้ ณ ห้องฟังของสำนักงาน ออดิโอ คอนซัลแตนท์ (นิตยสาร สเตอริโอ) เมื่อหลายสิบปีก่อนนู้นครับ เราใช้เวลาถกกันเพื่อหาคำตอบนานทีเดียวแหละ แต่แล้วก็มีความบังเอิญที่เป็นเรื่องฟลุ๊คให้คนๆ หนึ่งในทีมได้พกเข็มทิศเข้ามาด้วย แล้วก็วางไว้บนหลังตู้ลำโพง …จำไม่ได้แม่นว่า จงใจวางเพื่อที่จะดูว่า สภาพแม่เหล็กจากตู้ลำโพงจะมีผลกระทบต่อเข็มทิศหรือไม่ – แต่นั่นกลับทำให้เราได้พบว่า การตั้งวางอุปกรณ์เครื่องเสียงไว้ตรงตำแหน่งข้างๆ ผนังห้องฟังนั้นอยู่ในแนวตะวันออก-ตะวันตกซึ่ง “ตัดขวาง” กับขั้วเหนือ-ใต้ของสนามแม่เหล็กโลกในขณะที่การตั้งวางอุปกรณ์เครื่องเสียงไว้ตำแหน่งใหม่ซึ่งอยู่แนวตรงกลางห้องฟังนั้น จะอยู่ในแนว “ขนาน” กับขั้วเหนือ-ใต้ของสนามแม่เหล็กโลก 

นี่อาจจะเป็นคำตอบที่หลายคนอาจไม่คาดคิด อาจไม่ยอมรับ แต่ลองดูเถิดครับ “คำตอบ” จะอยู่ที่การทดลองของตัวท่าน  

บางครั้งการที่บางห้องฟังมีการตั้งวางอุปกรณ์เครื่องเสียงไว้ในลักษณะ “ขวาง” ขั้วเหนือ-ใต้ของเส้นแรงแม่เหล็กโลก ซึ่งอย่างที่บอกไปทั้งหมดตอนต้นว่า มีอิทธิพลส่งผลต่อทุกสิ่งบนโลกอย่างหลีกหนีไม่พ้น แล้วเสียงไม่ดี ฟังแล้วไม่น่ารื่นรมย์ ฟังแล้วไม่ไหลลื่นชื่นมื่นในอารมณ์ ก็ขอให้ลองปรับเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่งตั้งวางอุปกรณ์เครื่องเสียงมาไว้ในลักษณะ “ขนาน” ขั้วเหนือ-ใต้ของเส้นแรงแม่เหล็กโลกดูเถิดนะครับ …อาจจะไม่ต้องถึงกับโยกย้ายอุปกรณ์ทั้งหมด แล้วฟังเปรียบเทียบกับตำแหน่งเดิมหรอกนะครับ เอาแค่ว่า ลองยกเอาแหล่งสัญญาณออกมาตั้งวางตำแหน่งใหม่ แล้วก็ลองฟังดู (อาจจะบันทึกความต่างที่ฟังออกไว้เป็นข้อๆ) จากนั้นจึงค่อยยกเอาปรีแอมป์ หรือ อินติเกรตแอมป์มาตั้งวางไว้ด้วยกันกับแหล่งสัญญาณ แล้วก็ลองฟังดู …คุณจะรู้สึกได้ถึงเสียงที่เปลี่ยนไป-แน่นอน (เอาบันทึกความต่างที่จดไว้เป็นข้อๆ ในตอนแรกมาเทียบดู)  

…ทั้งอารัมภมท ทั้งเกริ่นนำเอาไว้หลายหน้า ก็เพียงแค่ จะยืนยันว่า ทิศทางขั้วเหนือ-ใต้ของสนามแม่เหล็กโลกนั้น ส่งผลกระทบต่อเสียงที่รับฟังจากชุดเครื่องเสียงได้จริงๆ ซึ่งคุณเองก็พิสูจน์ให้ประจักษ์ได้ และอาจจะส่งผลให้ใครที่บ่นว่า เครื่องเสียงของตัวเอง เสียงไม่น่าฟัง สู้เครื่องเสียงของเพื่อนไม่ได้ ทั้งๆ ที่ชั้นวรรณะของอุปกรณ์ หรืองบประมาณก็ใกล้ๆ กัน แล้วรู้สึกตะหงิดๆ คิดที่จะเปลี่ยนซิสเต็ม …ขอให้ลองไปทำดูครับ ท่านอาจจะพบว่า สวรรค์นั้น แท้จริงแล้วก็อยู่ในห้องฟังของคุณมาตลอด เพียงแค่ว่า ตั้งวางเอาไว้ไม่ถูกทิศถูกทาง มันก็เท่านั้นเอง…