Extrema เป็นลำโพงรุ่นดั้งเดิมของ Sonus Faber เปิดตัวครั้งแรกในปี 1991 และถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่ผู้ผลิตจากอิตาลีรายนี้ได้เรียนรู้มาตลอดทศวรรษแรก จนกระทั่งถึง ณ ตอนนั้น แบรนด์นี้ได้สร้างช่องทางที่สร้างสรรค์และมีประโยชน์ต่อผู้ฟังในระดับราคาพรีเมียม ด้วยลำโพงแบบตั้งพื้นขนาดกะทัดรัดจำนวนจำกัด ซึ่งได้รับการยกย่องทั้งในด้านตู้ลำโพงที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน และคุณภาพเสียงที่สร้างสรรค์อย่างมีศิลปะ
Extrema ถือเป็นการบุกตลาดลำโพงระดับบนสุดเป็นครั้งแรก และตามชื่อรุ่นก็บอกไว้ว่า ทีมวิศวกรก็ไม่รีรอที่จะขายความเป็นที่สุดนั้น ลำโพงรุ่นนี้มีราคาสูงถึง 6,000 ปอนด์ (12,500 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งถือว่าสูงเทียบเท่ากับลำโพงที่มีราคาแพงที่สุดในตลาด ณ ช่วงเวลานั้น แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ราคาดังกล่าวก็ไม่ได้ดูสูงเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากงานวิศวกรรมที่ทะเยอทะยาน คุณภาพการผลิตที่ยอดเยี่ยม และประสิทธิภาพทางเสียงอันเยี่ยมยอด
เมื่อมองจากด้านหน้า ตัวตู้ลำโพงรุ่นนี้ดูเหมือนลำโพงตั้งพื้นขนาดกลาง สูง 46 ซม. กว้าง 27 ซม. แต่ถ้าเลื่อนไปดูทางด้านข้าง จะเห็นว่า ความลึกของตู้นั้นดูไม่สมส่วนเลย โดยอยู่ที่ 55 ซม. เมื่อคำนึงถึงความหนาของผนังตู้ที่หนาแล้ว ตู้เหล่านี้จะมีปริมาตรภายในที่พอเหมาะพอดีแต่ไม่มาก โดยอยู่ที่ 20 ลิตร น้ำหนักตู้ทั้งหมดอยู่ที่ 40 กก. ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไส้เลื่อนได้เมื่อยกย้ายลำโพง

การออกแบบตู้ไม้แบบนี้แตกต่างจากตู้ไม้ทั่วไปมาก ส่วนกลางสีดำด้าน (Satin Black) ประกอบด้วยส่วนแยกถึง 7 ส่วน ซึ่งยึดด้วยสลักเกลียวเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างโครงสร้างที่มีความแข็งแกร่งสูง และลดการสั่นพ้องของความถี่เสียง หรือ เรโซแนนซ์ให้ต่ำ จากนั้นจะพบกับแผ่นไม้เนื้อวอลนัทที่จำหลัก (Sculptured) อย่างประณีตหนา 32 มม. ที่แต่ละด้าน ได้รับการเพิ่มความแข็งแรง และความหน่วงหนืด (Damping) เพื่อดูดซับแรงกระแทกจากแรงสั่นสะเทือน รวมถึงเพิ่มความน่าสนใจให้กับตู้ด้วย การผสมผสานของเส้นโค้งมน (Curves), การเข้ามุม (Angles) และสีสันทำให้ตู้โพง Extrema ของ Sonus Faber นี้มีรูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร

อาจกล่าวได้ว่า ไดรเวอร์ยูนิตมีความพิเศษไม่แพ้ตัวตู้ ดอกลำโพงทวีตเตอร์คือ Dynaudio Esotar 330T/SF ซึ่งเป็นตัวขับเสียงความถี่สูงแบบ ซอฟต์โดมขนาด 28 มม. ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในลำโพงที่ดีที่สุดในสมัยนั้น โดยจับคู่กับไดรเวอร์ยูนิตเสียงกลาง/เสียงเบสของ Audio Technology ขนาด 19 ซม. ซึ่งใช้กรวยโพลีโพรพิลีนที่บรรจุแมกนีเซียมออกไซด์ (Magnesium Oxide-Loaded Polypropylene Cone) เคลือบด้วยคาร์บอนเนียมอะคริเลต (Carbonium-Acrylate) เพื่อช่วยการแดมปิ้งอย่างเป็นพิเศษ (Extra Damping) และการควบคุมอาการเรโซแนนซ์ไปพร้อมกัน

หากถอดดอกลำโพงเสียงกลาง/เสียงเบสออกจากตู้ลำโพง แล้วคุณจะเห็นว่า แม่เหล็กที่ด้านหลังมีขนาดใหญ่มาก มีขนาดเท่ากับกรวยลำโพงเลยทีเดียว ซึ่งบ่งบอกว่า ไดรเวอร์นี้มีแรงขับของพลังแม่เหล็ก (Magnetic Drive) ที่เข้มข้นมาก จากนั้นนับเป็นการตอกย้ำความประทับใจยิ่งขึ้นไปอีก ที่ได้รับการยืนยันด้วยการใช้วอยซ์คอยล์ขนาดใหญ่ถึง 75 มม. ร่วมกับการออกแบบโครงยึดตัวดอกลำโพง (Chassis) แบบเปิดโล่งที่ดูร่วมสมัย โดยรวมแล้ว ชัดเจนว่า นี่คือการออกแบบที่ไม่มีการประนีประนอมอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังเป็นการออกแบบที่มีความทนทานสูงอีกด้วย หากคำกล่าวอ้างของบริษัทที่ว่า Extrema จะรับกำลังแรงขับได้มากถึง 2 กิโลวัตต์ ในช่วงเวลาสั้นๆ (Short Bursts) โดยไม่เกิดความเสียหายนั้น-เป็นความจริง
เมื่อมองไปรอบๆ แผงด้านหลังของตู้ลำโพง จะพบแผ่นโลหะหนาตั้งตระหง่านอยู่เหนือแผงด้านหลัง ลองมองผ่านช่องว่างระหว่างแผ่นโลหะ (Metal Plate) กับแผงหลังลำโพง (Rear Panel) คุณจะเห็นสิ่งที่ดูเหมือนไดรฟ์ยูนิตรูปทรงรี (Oval-Shaped Drive Unit) แต่ที่จริงแล้วเป็นพาสซีฟ เรดิเอเตอร์ (Passive Radiator) ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มเอาต์พุตความถี่ต่ำของลำโพง โดยมีความถี่หลักอยู่ที่ 35Hz
ทั้งนี้ Extrema รุ่นแรก ๆ ใช้ไดรเวอร์ B139 ฉายา ‘Race Track Driver’ ของ KEF ที่ได้รับความนิยมนำมาใช้งานอย่างยาวนานในแวดวง แต่รุ่นที่ผลิตต่อมาในภายหลัง (ตั้งแต่กลางปี 1992 เป็นต้นมา) เปลี่ยนไปใช้ “TDL 3021GT03” ที่คล้ายคลึงกันเมื่อ B139 ถูกเลิกผลิต…พาสซีฟ เรดิเอเตอร์ (Passive Radiator) กับ ท่อเปิด (Reflex Port) มักจะทำงานในลักษณะเดียวกัน ทว่าท่อเปิดนั้น มักจะพบได้ทั่วไปมากกว่า เนื่องจากท่อเปิด (โดยปกติจะเป็นพลาสติกขึ้นรูป) มีราคาถูกกว่าสิ่งที่เป็นไดรฟ์ยูนิตอื่นๆ อย่าง พาสซีฟ เรดิเอเตอร์

แต่ที่สำคัญ ‘พาสซีฟ เรดิเอเตอร์’ ใน Extrema นั้นค่อนข้างแปลกอย่างแตกต่าง เพราะสามารถปรับระดับเอาต์พุตได้ โดยใช้ปุ่มหมุน 5-ทิศทางที่แผงด้านหลัง ทำให้ปรับเสียงเบสของลำโพงได้อย่างละเอียด เพื่อให้เหมาะกับตำแหน่งในห้องฟัง การปรับนั้นละเอียดอ่อนก่อประโยชน์ในการใช้งาน และช่วยให้ปรับแต่งประสิทธิภาพเสียงได้อย่างดี
ถัดจากตัวพาสซีฟ เรดิเอเตอร์คือ แผงระบายความร้อน (Heatsink) ขนาดเล็ก…ทำไมชุดลำโพงแบบ พาสซีฟจึงจำเป็นต้องมีแผงระบายความร้อนด้วย นั่นเป็นเพราะ Extrema มีการออกแบบแบบครอสโอเวอร์ที่เรา-ท่านไม่เคยพบเห็นมาก่อน แม้ว่าการใช้ฟิลเตอร์ลำดับแรก (First-Order Filter) จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ทว่าการที่ไม่มีตัวเก็บประจุ (Capacitors) ใดๆ อยู่บนเส้นทางเดินสัญญาณของทวีตเตอร์ (ซึ่งพบเห็นไม่บ่อยนัก) ต่างหากล่ะที่เป็นประเด็นสำคัญ
วิศวกรของ Sonus Faber ต้องการหลีกเลี่ยงส่วนประกอบเหล่านี้ เพื่อปรับปรุงความแจ่มชัด (Clarity) และความโปร่งกระจ่าง (Transparency) ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ตัวเหนี่ยวนำ (Inductor) ต่อในวงจรแบบขนาน (In Parallel) กับทวีตเตอร์แทนที่จะใช้ตัวเก็บประจุแบบปกติต่อแบบอนุกรม (In Series) และเพื่อให้ทุกอย่างทำงานได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีตัวต้านทาน (A Resistor) ในวงจรด้วย ทว่าต้องใช้ครีบระบายความร้อน (Heatsink) เพื่อรองรับต่อพลังงานแรงขับจากแอมปลิฟายเออร์ (เป็นความจริงที่ครีบระบายความร้อนนี้ ไม่เคยรู้สึกว่าร้อนขึ้นระหว่างใช้งาน แม้จะขับดันลำโพงนี้ดัง ๆ ก็ตาม)
‘พาสซีฟ เรดิเอเตอร์’ ที่ปรับได้ของ Extrema นั้นให้ความอิสระในระดับหนึ่ง แต่สำหรับการรับฟังยังคงชอบลำโพงประเภทนี้ที่วางอยู่ห่างกันลึกเข้าไปในห้องฟัง และวางไว้ในลักษณะที่โท-อินเล็กน้อย ให้มุมที่ตัดกันนั้นอยู่เลยด้านหลังตำแหน่งนั่งฟัง วิธีนี้จะทำให้ได้เวทีเสียงที่แผ่กว้าง (Wide) และเวทีเสียงกว้างไกล (Expansive) ควบคู่ไปกับความรู้สึกในโฟกัสเสียงอันแม่นยำ
แน่นอนว่า ลำโพงที่เน้น “ความเหนือชั้น” นั้นต้องการระบบจับคู่กันระดับชั้นนำ และความจริงที่ว่า Extrema ได้รับการออกแบบมากว่าสามทศวรรษก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น ลำโพงรุ่นนี้ยังคงเปิดเผย และสำแดงรายละเอียดต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย ดังนั้นคุณภาพจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้งานร่วมกัน จึงเป็นเรื่องอันจำเป็น
ทั้งนี้ควรจะหลีกเลี่ยงการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ให้เสียงสดสว่าง-จัดจ้า (Bright) หรือ ก้าวร้าว (Aggressive) เนื่องจากทวีตเตอร์ของ Extrema นั้นมีประสิทธิภาพสูง บวกกับการจัดเรียงครอสโอเวอร์ที่ไม่ธรรมดาของ Extrema อาจรวมกันสร้างเอฟเฟกต์เสียงที่โหดเหี้ยม (Brutal Effect) และเผยให้เห็นข้อบกพร่องของซิสเต็มใช้งานด้วยสมรรถนะในตัวของลำโพงเอง

แอมปลิฟายเออร์ที่ใช้งานร่วมกัน จะต้องมีกำลังขับที่เหมาะสม หากต้องการได้รับสมรรถนะในไดนามิกอันยอดเยี่ยม และศักยภาพด้านความดังของ Extrema อย่างเต็มที่ ซึ่งนึกไปถึงเอาต์พุต 100W ต่อแชนแนลนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี จากค่าความไวเสียง (Sensitivity) ที่ระบุไว้ 88dB/W/m และค่าอิมพีแดนซ์ปกติ 4 โอห์ม ซึ่งนั่นก็ไม่ได้โหดเกินไป
Extrema ให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมของความสอดคล้องกลมกลืนกันตั้งแต่บนลงล่าง (Top-To-Bottom Cohesion) ซึ่งอาจจะทำให้ลำโพงระดับไฮ-เอนด์ในปัจจุบันหลายๆ ตัวต้องอาย และนั่นก็มาพร้อมกับการผสานรวมที่ราบรื่น-ไร้รอยต่อ (Seamless Integration) ระหว่างไดรฟ์ยูนิต นี่คือ การนำเสนอที่สมดุลอย่างดี (Nicely Balanced Presentation) พร้อมองค์ประกอบในความเข้มข้น อิ่มอุดมของช่วงย่านเสียงกลางและความถี่ต่ำอย่างเป็นพิเศษ การนำเสนอระดับรายละเอียด (Detail) นั้น แน่นอนว่า Extrema ทำได้น่าพอใจ แม้ว่า ลำโพงไฮ-เอนด์สมัยใหม่ที่เสียงดีจะฟังดูสะอาด และแจ่มชัดยิ่งกว่า แต่จะน่าฟังกว่าหรือไม่นั้น…อาจจะยังเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกัน ในลักษณะเดียวกับที่หลายๆ คนชอบขับรถคลาสสิกมากกว่ารถสมัยใหม่นั่นแล
เมื่อเปิดตัว Extrema ถือเป็นลำโพงที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยม และนับเป็นหนึ่งในลำโพงที่ดีที่สุดที่เงินสามารถซื้อได้ (ราคาในปี 1991 นั้นค่อนข้างสูงพอสมควรที่ 799 ปอนด์ หรือ 1,500 ดอลลาร์) Extrema ผลิตขึ้นอย่างสวยงาม และเต็มไปด้วยความหรูหราในแบบที่ลำโพงไม่กี่ตัวสามารถทำได้ ผู้ที่ชื่นชอบเฟอร์นิเจอร์ระดับไฮ-เอนด์จะต้องชื่นชอบเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้อย่างแน่นอน แม้ว่าสัดส่วนของลำโพงที่ค่อนข้างแปลกประหลาด อาจทำให้มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธคุณภาพงานฝีมืออันประณีตของลำโพงรุ่นนี้ได้
ซึ่งด้วยเพราะว่า ลำโพงรุ่นนี้ยังคงให้ผลลัพธ์ทางเสียงที่ยอดเยี่ยม น่าประทับใจ แม้ใช้แหล่งสัญญาณสมัยใหม่ในยุคปัจจุบัน ลำโพง Extrema ให้เสียงที่ใหญ่โตโอฬารยิ่งนัก-ใหญ่กว่าขนาดตู้ลำโพงมาก และพูดได้ว่า แทบไม่เคยพบลำโพงแบบ วางขาตั้ง (Standmounted) ที่มีความแข็งแกร่ง และทรงพลังเยี่ยงนี้ ซึ่งเมื่อปรับจูนพาสซีฟ เรดิเอเตอร์อย่างเหมาะสมแล้ว จะได้เสียงความถี่ต่ำที่แน่นตึง-กระชับ (Taut) และกระฉับกระเฉง (Agile) ควบคู่ไปกับพลังที่น่าประทับใจ

ทั้งนี้ทั้งนั้นโดยธรรมชาติแล้ว ประสิทธิภาพของลำโพงแบบ วางขาตั้ง (Standmounted) มักขึ้นอยู่กับประเภทของวัสดุขาตั้งที่ให้การรองรับ และ Sonus Faber ย่อมตระหนักดี และไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป โดยการผลิตขาตั้งเหล็กกล้า ความสูง 55 ซม. ขึ้นมาเอง เพื่อการใช้งานควบคู่กับ Extrema โดยเฉพาะ ขาตั้งเหล่านี้เคลือบด้วยสีดำที่มี Textured ในตัว โดยใช้เสาขนาดใหญ่ไม่น้อยกว่า 6 ต้นเป็นตัวรองรับ ซึ่งแต่ละต้นนั้นบรรจุไว้ด้วยตะกั่ว (Lead) และทราย (Sand) เอาไว้จนเต็ม ขาตั้งเหล่านี้มีน้ำหนักมากเป็นพิเศษ และแข็งแรงเป็นอย่างยิ่ง แล้วก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างยอดเยี่ยม ณ เวลานี้ Extrema ของ Sonus Faber มีอายุถึงกว่า 30 ปีแล้ว และขอบอกว่า ไม่มีตัวอย่างเสียงดีๆ จากลำโพงยุคใหม่ออกมาให้ประทับใจมากนัก จึงหวังว่า ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของลำโพงรุ่นนี้ จะชื่นชอบมัน เพราะแทบจะหาอะไรมาแทนที่ไม่ได้เลย…
__________________________