Accuphase C-57 Phono Amplifier

0

ในปี 2025 Accuphase บริษัทที่ผลิตเครื่องเสียง Super HI-END ของญี่ปุ่น เราคงไม่ต้องเอ่ยถึงความเป็นมาของ Accuphase เพราะว่าทางบริษัทได้ปักหลักในประเทศไทย มีความแน่นแฟ้นยาวนานกับบริษัท Hi-End Audio เจ้าเดียวมายาวนานกว่า 30 ปี  ปีนี้ Accuphase ได้ออก Phono stage แยกชิ้นมาเป็นลำดับทุกหกปี เริ่มตั้งแต่ C-27 ในปี 2008, C-37 ในปี 2014, C-47 ในปี 2020 และ C-57 ตัว Flagship รุ่นล่าสุดในปี 2025 นี้ ดูหน้าตาคร่าว ๆ และสเปคจะเหมือนกว่าใกล้เคียงกับ C-47 เป็นอย่างยิ่ง แต่เบื้องหลังไส้ในมีความแตกต่างกันมากพอควร เดี๋ยวเรามาเจาะดูกัน

C-47 vs C-57

ถ้าดูหน้าตา น้ำหนักคร่าว ๆ อาจไม่สังเกตเห็นความแตกต่างระหว่าง 47 และ 57 สเปคไปจนถึงน้ำหนักเครื่องก็เท่ากันคือ 14.8 กิโลกรัม แต่พอสังเกตชัด ๆ แล้วจะมีความแตกต่างกันพอสมควร

ในด้านหน้ามีการออกแบบใหม่ย้ายเอาสวิทช์ Input selector จากซ้ายมาขวา มีจำนวน Input เท่าเดิมคือ Unbalanced RCA จำนวน 3 ช่อง ที่สามารถเลือกใช้งานได้ทั้งหัวเข็ม MM และ MC (สามารถจดจำ Setting ล่าสุดได้)  และ Dedicated balance XLR input สำหรับหัวเข็ม MC เท่านั้น (ที่คราวก่อนผมไม่ได้ทดสอบใน C-47 แต่คราวนี้ไม่พลาด) เหตุผลที่ต้อง MC เหมือนกับที่อธิบายไปตอนรีวิว C-47 คือสัญญาณจากหัว MM มักจะฝาก Ground มากับสัญญาณซีกลบ ทำให้สัญญาณหลักจากหัวเข็มและ Lead wire สี่เส้น (ที่เป็น True balance) สูญเสียความเป็น Balance ไป

ส่วนตัว Rotary knob ทางขวา (เช่นเดียวกับปุ่มทางซ้ายจะใช้ปรับค่า Impedance ใช้ Knob ที่คุณภาพสูงมาก) ค่าที่ตั้งได้มากกว่า C-47 คือ MC จะเพิ่มค่า 60 Ohm 10, 30, 60, 100, 200, 300, 1000 Ohm (การเลือก Impedance ที่เหมาะสมกับ MC Low output ไว้คุยกันตอนท้าย ๆ บทความ) และ MM เลือกได้ส่วนตัว Rotary knob ทางขวา (ใช้ knob เช่นเดียวกับปุ่มทางซ้าย) จะใช้ปรับค่า Impedance ใช้ Knob ที่คุณภาพสูงมาก ค่าที่ตั้งได้มากกว่า C-47 คือ MC จะเพิ่มค่า 60 Ohm 10, 30, 60, 100, 200, 300, 1000 Ohm (การเลือก impedance ที่เหมาะสมกับ MC Low output ไว้คุยกันตอนท้าย ๆ บทความ) และ MM เลือกได้สามค่าคือ 1000, 47 Kohm, 100 Kohm นั่นคือหัว MM ระบบจะไม่ให้เลือก Impedance ต่ำว่า 1000 Ohm (โดยปกติหัว MM สมัยนี้เราก็เลือกใช้ค่า 47 Kohm เป็นหลัก)

ปุ่มล่างสามปุ่มจากซ้ายไปขวาจะเลือก Input ของช่องนั้น ๆ ว่าใช้งานกับหัวเข็ม MM หรือ MC ปุ่มกลางเลือกอัตราขยาย สำหรับ Input นั้น ๆ ได้สองค่าคือถ้าไฟไม่ติดเป็น Normal gain ถ้าไฟติดเป็น High gain ดังนั้นค่าอัตราขยายสัญญาณจะเป็นสี่ค่า คือ MM จะ 34, 40 dB  และ MC จะเป็น 64, 70 dB ส่วนปุ่มขวาเป็น Subsonic filter ที่จะลดสัญญาณที่ต่ำกว่า 10 hz ไป -12 dB ตรงนี้จะช่วยป้องกันดอกลำโพงโดยเฉพาะเสียงทุ้ม ถ้าท่านเคยเล่นแผ่นเสียงมาบ้าง ในบางแผ่นเวลาลงเข็มจะเห็นดอกลำโพงเสียงทุ้มขยับเข้าออกรุนแรงน่ากลัวมาก การมีวงจรนี้จะช่วยลดเสียงที่ไม่พึงประสงค์และช่วยป้องกันความเสียหายของดอกลำโพงเสียงทุ้ม

ขั้วต่อต่าง ๆ ด้านหลังของ C-57 Pin 1 ไม่แตกต่างจาก C-47 สัญญาณ XLR ขาออกสามารถเลือกตำแหน่งบวกว่าเป็น Pin 2 หรือ 3 Input ทุกช่องมีขั้วกราวนด์ให้ทุกจุด ในส่วนวงจรเป็นแบบ Fully balance ตั้งแต่ภาคจ่ายไฟถึง Output มีการเปลี่ยนแปลง Layout วงจรที่วางซ้อนกันใน C-47 เป็นวางข้างกันใน C-57 รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ บนบอร์ดที่เปลี่ยนจากเดิมมากพอควร ทั้งนี้เพื่อจุดประสงค์ในการลด Noise และเพิ่ม Signal noise ratio ให้ดีกว่าเดิม

ผลที่ได้ตามมาคือการลด Noise และเพิ่ม Signal/Noise ratio (จาก Datasheet)

ดูจาก Datasheet เหมือนว่าดีขึ้นเล็กน้อย แต่จากการฟังจริงแตกต่างกันชัดพอควรทีเดียว

วงจรการขยายสัญญาณหลักการเหมือนกับ C-47 คือ มีการขยายสองช่วงทั้ง MM และ MC คือออกแบบเป็น 2 Gain stage โดยช่วงแรก  ถ้าเป็น MM จะขยายขึ้นมาก่อน 20 dB (Fet 3 ตัว) และ MC จะขยายส่วนต้นก่อน 50 dB (Bipolar transister 8 ตัว) จากนั้นไปขยายส่วนที่สอง โดยถ้าเป็น Normal gain จะบวกเพิ่มอีก14 dB แต่ถ้าเป็น High gain จะบวกอีก 20 dB ดังนั้นเลยทำให้ mm Low gain เป็น 20+14 = 34 dB และ MM high gain เป็น 20+20 = 40 dB ส่วนMC ก็เช่นเดียวกันเพียงแต่ขยายส่วนตั้งต้นใน Stage แรกที่ 50 dB ก็จะเป็น MC Low gain  50+14 = 64 dB และ MC High gain 50+20 = 70 dB การทำงานร่วมกับวงจร ANCC (Accuphase Noise & Distortion Cancelling Circuit) ทำให้ช่วยลดเสียงรบกวน และ S/N Ratio ดีขึ้น ผลที่ตามมาทำให้ไดนามิกดีขึ้นกว่าเดิม

แผนการทดสอบของผมมีดังนี้ (หลังพ้นเบิร์นแล้ว)

  1. ทดสอบภาค MM ด้วยหัวเข็ม Rega ND-7 (4-5 mV Output)
  2. ทดสอบภาค MC Unbalanced RCA input ด้วยหัวเข็ม Shelter 901 mk2 (0.5 mV)
  3. ทดสอบภาค MC Dedicated XLR input ด้วยหัวเข็ม Denon DL-S1 (0.15 mV)
  4. ทดสอบร่วมกับ Step-up transformer 

อุปกรณ์ใช้ในการทดสอบครั้งนี้ได้แก่

  1. หัวเข็มแผ่นเสียง ใช้ Rega ND-7 ที่ถือว่าเป็นหัว MM ที่ดีที่สุดในขณะนี้ (ที่สูสีก็ Ortofon 2M Black), หัว Benz micro Glider และ SL Wood ในช่วง Burn in phono , หัว Shelter 901 mk3, Denon DL-S1 และสุดท้ายที่ EMT TSD15 sfl
  2. อาร์ม : Jelco 750L อาร์ม 12 นิ้ว เป็นตัวหลัก ๆ ที่ใช้งาน, EMT 929 Arm (ใช้กับหัว EMT tsd 15)
  3. แท่น Dr.Feickert Firebird และ EMT 930 
  4. เก็บเสียงที่ทดสอบด้วย Audio interface ของ Korg รุ่น DS dac10R ริปเป็นไฟล์ที่ 24/88.2 KHz ด้วย Audacity บน Mac osx แล้วแปลงเป็น MP4 เอาขึ้น YouTube

ผมพบว่า เรื่องเบสิคบางอย่างที่เราจะน่ารู้กันดี กลับเป็นเรื่องที่มีคนถามมากใน Social media เลยเอามาเล่าเบสิคตรงนี้สักนิด เอาเรื่อง Gain ก่อน การเลือก Gain 64 dB กับหัวเข็ม 0.5 mV อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ถ้า Phono เราปรับอัตราขยายได้หลากหลาย เราสามารถเลือกค่าได้ตั้งแต่ 55-65 dB ในการใช้งาน สุดท้ายให้เราลองมาดูที่เกนขยายของปรีแอมป์ (+แอมป์) ที่ไปขับลำโพง เราจะเร่งค่า Volume ขึ้นไปหน่อยจากตำแหน่ง 9 นาฬิกาเป็น 10 นาฬิกา ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการเล่นภาค Phono เรื่อง Gain matching ถือเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งของการเล่นภาค Phono ถ้าเราเลือก Gain ของโฟโนที่สูงเกินไป จนเท่ากับหรือดังกว่าการฟัง Line level source จะทำให้เราปรับระดับความดังค่อยได้ยาก มี Headroom ในการปรับแคบ (อย่าลืมว่าแผ่นเสียงแต่ละแผ่นมีการบันทึกดังเบาไม่เท่ากัน) แต่ถ้าเลือกเกนโฟโนไม่เพียงพอ เช่นเลือก 40-45 dB สำหรับหัว 0.5 mV ก็เจอปัญหาเกนไม่เพียงพอ ต้องเร่งวอลลุ่มขึ้นสูงมากจึงได้ความดังเป็นปกติ และถึงแม้ว่าดังเพียงพอแล้ว แต่ไดนามิกก็ไม่ได้ แคบเกินไป ดังนั้น Gain matching ระหว่างหัวเข็มและ Phono stage จึงมีความสำคัญและเราควรดู Datasheet ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ดี ๆ ในกรณีนี้เราเลือกหัว Benz 0.5 mV กับ Phono อัตราขยาย 64 dB ถือว่าเหมาะสมกันดี สุดท้ายมาดูที่การเล่นจริง ก็อยู่ที่ระดับความดัง 10 นาฬิกาจากการฟัง CD Streaming ที่ 9 นาฬิกา ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี มี Headroom ในการปรับระดับเสียงได้ดี  

เบสิคอีกเรื่องของการเล่นหัวเข็มกับ Phono stage คือเรื่อง Impedance matching หลักการเบื้องต้นก็เหมือนกับการเชื่อมต่อเครื่องเสียงส่วนอื่น ๆ เช่น จากปรีฯ ไปเพาเวอร์ หรือ เพาเวอร์ไปลำโพง นั่นคือ Impedance ปลายทางต้องสูงกว่าต้นทาง ในส่วนของหัวเข็มกับ Phono stage นั้น ค่า Impedance setting ของ Phono stage ควรสูงกว่าหัวเข็มแผ่นเสียงประมาณ 5-10 เท่า ค่าความต้านทานฝั่งหัวเข็มจะมีบอกใน Datasheet เมื่อเราซื้อหัวเข็มมาใข้ เป็นค่า Internal impedance และเขามักจะบอกค่า Recommended load impedance ฝั่ง Phono stage มาด้วยว่าควรตั้งค่าเท่าไร ถ้าเป็นหัว MM มักจะอยู่ที่ค่า 47 Kohm ถ้าเป็นหัวโบราณกว่านั้นอาจใช้ค่า 100 Kohm (ซึ่ง C-57 ก็มีค่านี้ให้เลือก) ถ้าหัว MC ก็ 5-10 เท่าของ Internal impedance ของหัวเข็ม ซึ่งก็ขึ้นกับจำนวนรอบ ชนิดของขดลวดที่ใช้พัน Coil ของหัวเข็ม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจไม่สัมพันธ์กับความแรงหัวเข็ม Output เป็น mV เช่น บางท่านคิดว่า หัว 0.2 mV น่าจะมี Internal impedance ต่ำว่าหัวที่ Output สูงกว่าเช่น 0.5 mV เพราะคิดว่า Output สูงกว่าน่าจะมาจากจำนวนรอบพันขดลวดมากกว่า แต่เรื่องจริงอาจจะมีค่า Internal impedance เท่ากันก็ได้ เพราะความแรงสัญญาณหัวเข็มไม่ได้ขึ้นกับรอบขดลวดอย่างเดียว แต่ขึ้นกับชนิดแม่เหล็กที่ใช้ด้วย ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรมดังนี้

สองหัวนี้ อย่าง Shelter 901 มี Output แรงกว่า คือ 0.5 mV มีค่า Impedance 15 Ohm พอมาดู Denon DL-S1 มีค่า Output แค่ 0.15 mV แต่ดันมีค่า Impedance สูงกว่าเป็น 40 Ohm นั่นแสดงว่าแม่เหล็กของ Denon มีกำลังน้อยกว่า Shelter ถ้าทาง Shelter ทำหัวเข็มจากแม่เหล็กตัวเดิมนี้ แต่ให้มี Output แค่ 0.2 mV ย่อมต้องใข้จำนวนรอบขดลวดที่น้อยกว่านี้และมีค่า Impedance ต่ำกว่า 15 Ohm มาก (น่าจะอยู่แถวๆเลขตัวเดียว) ดังนั้นหัว Shelter 901 ควรตั้งค่า Load impedance 75 Ohm (ห้าเท่า) ถึง 150 Ohm (สิบเท่า)  และหัว Denon DL-S1 ควรตั้งที่ 200 – 400 Ohm

ทีนี้ทำไมต้องซีเรียสกับการตั้งค่า Loading impedance ของ Phono stage ด้วย เพราะมันมีผลกับ Frequency bandwidth เวลาเล่นกลับ

ตัวอย่างในภาพคือการตั้ง Loading impedance ของ Phono ต่อหัวเข็มที่มีค่าความต้านทานภายใน 10 Ohm จะเห็นได้ว่าถ้าเรา Load น้อยกว่า 3 เท่า ปลายเสียงแหลมจะเบาลง เช่น Load 3 เท่า 33 Ohm ปลายเสียงแหลมความดังหายไปเกือบ 5 dB ขณะที่ load สูงกว่า 10 เท่าเช่น 100 K จะมี Overshoot ของปลายเสียงแหลม ถามว่าตรงนี้เราควร Load ให้มัน Linear เป๊ะไหม ตอบว่าไม่จำเป็น ขึ้นกับ Tonal balance โดยรวมของเสียงที่ได้ยินออกมา บางทีเราอาจจะ Load ทางด้านต่ำ 3-5 เท่า ถ้ารู้สึกว่าเสียงโดยรวมมันจัดจ้านเกินไป เราก็ลอง Load ค่าต่ำ ๆ (มากกว่าห้าเท่า) ก็ได้ เพื่อให้เสียงโดยรวมออกมากลมกล่อม หรือในทางตรงข้ามเราอาจ Load ค่าสูงหน่อยเพื่อชดเชยเสียงโดยรวมที่ยัง Dull เกินไป

1. ช่วง Burn in

ช่วง Preview burn in ผมได้ทดสอบกับหัวเข็ม Benz micro SL wood ที่มีค่า Output 0.5 mV Internal impedance 12 Ohm เลือกเข้าช่อง Input 3 ที่เป็น RCA เลือกค่า Gain เป็น MC Normal gain 64 dB 200 Ohm impedance 

ผมเลือกค่า Impedance ของ C-57 สูงกว่า 10 เท่าของ Impedance ในหัวนี้เพราะว่า Character เสียงของหัว Benz รุ่นหัวไม้ ทุกรุ่น มีแนวโน้ม “เจ้าเนื้อ” คือเสียงอวบอิ่ม เนื้อเบสหนา ผมเลยเลือกค่า Impedance ที่เกินสิบเท่าไปสักหน่อยเพื่อให้ปลายเสียงแหลมมันเปิด ๆ ไม่เจ้าเนื้อตุ๊ต๊ะเกินไป ผมเลือกเพลงจากสองอัลบั้มนี้มาริปผ่านโฟโนตัวนี้ ให้ลองฟังน้ำเสียงของ C-57 ที่ 20 ชั่วโมงผ่านไป

ผมเอาขึ้น YouTube ไว้แล้วที่ https://www.youtube.com/watch?v=zQVJDGjd9wk น้ำเสียงดี มีเนื้อเสียงที่เต็มๆไม่เหมือนเครื่อง Solid state ทั่วไป คือถ้าไม่บอกก่อนว่าเล่นผ่านโฟโนแบบ Solid state หรือหลอด รับรองมีเดาผิดหลายราย คือมันมี Background noise ที่เงียบสนิท (แต่ว่าการเชื่อมต่อ Setup ต้องถูกต้องทั้งหมด และแท่นต้องดีพอสมควร) แต่เนื้อเสียงมีความอิ่ม มีเนื้อ ไม่แห้ง ปลายเสียงแหลมมีน้ำหนัก แบบเครื่องหลอด ตรงนี้เป็นสิ่งที่ C-57 ทำได้เหนือกว่า C-47 อย่างมีนัยสำคัญ ถึงแม้ว่าสเปคหลัก เช่นกลไกการขยายสัญญาณจะเหมือนเดิม แต่การเข้มงวดกับการออกแบบวงจร การคัดเลือกอุปกรณ์ในการลด Noise ต่าง ๆ ได้ส่งผลให้ C-57 เสียงดีกว่ารุ่น 47 อย่างผิดหูผิดตาทีเดียว

2. MM Phono stage

ในช่วงต่อมา ผมเริ่มจากการทดสอบภาค MM ก่อน  ด้วยหัวเข็ม MM ที่น่าจะดีสุดในปัจจุบันนี้คือ Rega ND-7 ที่มีค่า Stylus profile แบบหัว MC รุ่นท็อป ด้วยค่า Output 4-5 mV จำเป็นต้องใข้ High gain MM ที่ 40 dB ขยายสัญญาณจึงจะเพียงพอในการรับฟัง ผมลองใข้ที่ Normal gain 34 dB แล้วต้องเร่งเกินเที่ยง (ปกติฟัง Line level ไม่เกิน 9 นาฬิกา) และถึงแม้ดังเพียงพอแต่ไดนามิกก็ไม่ได้ นั่นคือ Gain 34 dB นี้ไม่เพียงพอสำหรับหัวเข็ม MM สมัยใหม่  เขาคงทำเพื่อรองรับหัว MM ยุคเก่า หรือใช้งาร่วมกับ หัว  MC Low + Step-up transformer ภายนอก ซึ่งตรงนี้ผมได้ทดสอบในตอนท้ายของรีวิว

ที่ 40 dB ของ C-57 มันขยายสัญญาณหัว MM Rega ได้สบาย มันช่วยให้ Headroom ในการเร่งลดความดังได้ง่าย ฟังสบาย ๆ ที่ 10 นาฬิกากว่า ๆ เสียงกลาง เสียงร้องมีความถูกต้อง อิ่ม ไม่ติดแห้ง ทดสอบด้วยอัลบั้มของ Lori Lieberman – ชุด Perfect Day เป็นอัลบั้มที่ Micheal Fremer ให้คะแนน 10/11 (https://trackingangle.com/music/lori-lieberman-covers-lou-scott-traci-robert-ron-alan-and-lori-releases-a-live-in-the-studio-all-analog-record)

ฟังได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=YA6MjaDt0zI เสียงในทุกย่านมีความกลมกล่อม ไม่แห้ง น้ำหนักเสียงดีเบสดี Tonal balance ไปในทางสมดุลทั้งทุ้มกลางแหลม ผมลองเทียบเพลงเดียวกันนี้กับหัวเข็ม MC Low XLR input เพื่อจะเทียบกับช่องที่เสียงดีที่สุด หัวเข็มที่ดีกว่าแพงกว่า เทียบกับช่อง MM และหัวเข็ม MM ที่ถูกกว่าสองเท่าตัว (https://www.youtube.com/watch?v=n7iqW7K1MXM) ว่าเสียงจะต่างกันมากแค่ไหน เท่าที่ฟังเสียงแล้วไปในแนวทางเดียวกันคืออิ่ม หนา ใหญ่ ไม่บาง แต่ช่อง XLR ร่วมกับหัว MC Low จะให้ไดนามิกดีกว่า แต่ละเสียงมีความอิสระมากกว่า เสียงเปิด เสียงร้องเป็นตัวตนมากกว่า คือช่อง MM เสียงดีแล้ว ช่อง MC XLR เสียงมันดีขึ้นไปอีก Step  ซึ่งผมคิดว่า คนที่ซื้อ Phono ระดับนี้คงเล่นหัว MC Low และ C-57 จะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน นอกจากนี้ภาค MM ก็ให้เสียงไปในแนวทาง DNA ของภาค MC ที่ผู้ใช้งานไม่ผิดหวัง

3. MC Mode (Unbalanced and dedicated XLR input)

ต่อไปเราเข้า MC Mode ของเครื่องกัน ซึ่งมีค่า Normal gain อยู่ที่ 64 dB และ High gain ที่ 70 dB หัวเข็ม MC Low ที่มีในท้องตลาดส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 0.4-0.5 mV จะพอดีกับ Normal gain แต่จะมีหัวบางประเภทที่บริสุทธิ์นิยม มักจะทำค่า Output ต่ำกว่านี้ แถว ๆ 0.1-0.2 mV ในครั้งนี้ผมมีหัวที่เป็นตัวแทนของทั้งสองแบบคือ Shelter 901 mk3 ที่ 0.5 mV และหัวที่ Output ต่ำ ๆ คือ Denon DL-S1 ที่ 0.15 mV อยู่ในคลังพอดี เลยได้ทดสอบได้อย่างเต็มที่ (ในส่วนของ DL-S1 ผมจะยกยอดไปทดสอบที่ตอนฟัง Dedicated MC Low input )

เมื่อเปลี่ยนเป็นหัว MC ชั้นดีอย่าง Shelter 901 หัวรองท็อปของค่ายนี้ (ตัวท็อปคือรุ่น Harmony หลักแสน) มันเหมือนได้ปลดปล่อยข้อจำกัดของ MM Mode ออกไป โดยเฉพาะเสียงกลางเสียงร้อง เนื้อเบสที่ดีขึ้น ลองฟังเพลงแจ๊สชุดนี้กัน จากค่าย Audio lab

ของญี่ปุ่น บันทึกเสียงสปีด 45 ลงแผ่นตั้งแต่ปี 1974 เกือบห้าสิบปีมาแล้ว ลองฟังจากที่ผมเก็บเสียงมาได้ที่ https://soundcloud.com/emt930/bluestte  เป็น Piano trio jazz สามชิ้น ปลายเสียงแหลมของไม้กลองที่เคาะบนฉาบหรือ Hi hat ทางขวาของสนามเสียง เป็นประกายดีมากๆ เวทีเสียงซ้ายจรดขวาเต็มพื้นที่มีเสียงโอบรอบ การบันทึกเสียงการรายงานเสียง C-57 ทำได้อย่างดีเยี่ยม เหมือนเพิ่งบรรเลงกันเมื่อวานทั้งๆที่บันทึกมา 50 ปีแล้ว เนื้อเสียงลื่นไหล ไม่มีอาการแข็งกร้าวสไตล์ Solid state ความไหลลื่นต่อเนื่องของเพลงสมกับความเป็น HI-END อย่าง Accuphase และ Background noise ที่แทบไม่มีเลย ช่วงไม่มีสัญญาณเงียบราวกับกำลังเปิด Line source เช่น CD อยู่ รบกวนกดฟังลิงค์ Soundcloud ด้วยนะครับ จะเสียบหูฟังหรือออกชุดใหญ่ก็ได้ จะช่วยให้เข้าใจลักษณะเสียงที่เครื่องทำได้มากขึ้น

Playback input ที่ผมใช้เวลาทดสอบมากที่สุดคือช่อง XLR input โปรดอย่านึกว่าช่อง XLR เมื่อเทียบกับช่อง RCA ไม่ว่าจะเป็น Output หรือ Input จะมีระดับเสียงไม่เท่ากัน เหมือนกับที่พบในปรีฯ Line level ทั่ว ๆ ไปที่มีระดับความดังต่างกัน 6 dB ใน C-57 ช่อง Output จะมีระดับสัญญาณเต็มที่ 2 Volt เท่ากันทั้ง RCA Out และช่อง Input ก็มีความแรงสัญญาณเท่ากับ RCA แต่สิ่งที่จะได้คือระบบ Ground ที่สมบูรณ์แบบและได้ประโยชน์สูงสุดกับการใช้งานวงจร Fully balance ของ C-57

จากแผ่นเสียงสังกัด Groovenote ของ Vanessa Fernandez ชุด Use Me (เป็นอัลบั้มที่ติดอันดับแผ่นที่ดีที่สุด – Best of the bunch – ของนิตยสาร The Absolute Sound หมวดที่ไม่ใช่เพลงคลาสสิก) เลือกเพลง Simply Beautiful เพลงช้า ๆ บันทึกเสียงดีๆมาให้ลองฟัง เสียงจาก MC Mode มีความเป็นอิสระของเสียงต่างดีกว่า MM (อาจจะด้วยว่าหัว MC ดีกว่า ราคาแพงกว่า) ผมเปลี่ยนสายอาร์มเป็น XLR (สัญญาณจากหัวเข็มมีสี่เส้น เป็นระบบ Balanceอยู่แล้ว) และใช้ XLR input จะช่วยทำให้เสียงชิ้นดนตรี เสียงร้อง มีความเป็นอิสระมากขึ้น เสียงเปิดมากขึ้น แหลมไปสุด เบสลงลึกเท่าที่การบันทึกเสียงอัดมาให้ https://www.youtube.com/watch?v=x3Bd47yalBM ผมบรรยายเท่าไรไม่เท่าที่ท่านฟังเอง รบกวนสละเวลากดฟังลิงค์ดังกล่าว ฟังผ่านมือถือ+หูฟังดี ๆ หน่อยก็ได้ครับ แล้วจะเข้าใจเสียงที่เปิดเป็นอิสระ แต่ยังมีความอบอุ่นของหัวเข็ม MC Low ชั้นดีเป็นอย่างไร

แผ่นต่อไปกับหัว Shelter และ XLR Input โดยสาย Tonearm ที่ทำพิเศษโดย Soundaries audio เพื่อนของผม ท่านอาจจะซื้อสายสำเร็จรูป Commercial หรือสั่งทำเองก็ได้ ในกรณี DIY เองต้องมีความเข้าใจระบบ Ground ของสายโฟโนอย่างดีนะครับ เพราะมันมี Ground จากหลายส่วนทั้งระบบแท่นเครื่อง และจาก Ground shield ของสายที่ต้องต่อให้ถูกต้อง (ผมมีเขียนล้อมกรอบไว้ตอนรีวิว C-47) ที่ Normal gain 64 dB กับหัวเข็ม Shelter มีความลงตัวกันดีมาก เลือกแผ่น RCA Living Stereo ที่ Reissue ยุคปี 1990 โดย Classic Records แผ่นชุด Slavonic Dances โดย London Symphony Orchestra (ปกติ RCA บันทึกกับวงยุโรป จะใช้ทีมงาน Decca ในการบันทึก เช่นชุด Royal Ballet Gala Performance) ผมบันทึกเสียงมาให้ฟังที่ https://www.youtube.com/watch?v=275ESAjTYgY เวทีเสียงและไดนามิกทำได้ไม่มีที่ติ เวทีเสียงทั้งกว้างและลึกของคลาสสิกวงใหญ่ และ Transient ดีมาก ถ้าจะให้เปรียบเทียบกับกล้องถ่ายภาพ ก็เช่นจากใช้เลนส์ญี่ปุ่น ไปเป็นเลนส์เยอรมัน เลนส์ญี่ปุ่นได้ภาพเช่นกัน แต่เลนส์เยอรมันชั้นดีจะได้รายละเอียด และความนุ่มนวลของภาพที่เหนือกว่า เช่นเดียวกับ C-57 ที่ทำได้ดีกว่าเครื่องระดับ MID-END อย่างเหนือชั้น

MC Mode XLR Input + Denon DL-S1

เพื่อจะทดสอบภาค High gain MC ของ C-57 เลยต้องนำหัวเข็มนี้มาทดสอบ ผมซื้อมือสองสภาพดีมาได้สักพัก แต่ไม่ค่อยได้เล่นเนื่องจากว่า หัวมี Output ต่ำมาก เพียง 0.15 mV  เคยลองกับของเดิมๆแล้วเกนไม่พอต้องเร่งเยอะ เลยถอดเก็บ คราวนี้จึงมีโอกาสได้ลองหัวเข็มน่าจะรุ่น Top ของ Denon ตัวนี้ กับภาค High gain 70 dB ของ C-57 ผลคือรับมือได้สบาย ๆ ผมได้ฟังหัว DL-S1 แบบเต็มๆก็ครั้งนี้เอง ทดสอบด้วยปั้มดีที่ที่สุดของอัลบั้มดังชุด Getz/Gilberto ของค่า Impex one step speed 45 หัว Denon นี้ค่อนข้างเบา น้ำหนัก 7 กรัม มี Compliance ค่อนข้างสูง ต้องการแรงกดปลายเข็มต่ำ เพียง 1.5 กรัม C-57 ได้ปลอกเปลือกหัวเข็มแรงดันต่ำตัวนี้ได้หมดจด เบสลงลึก เสียง Saxophone เป็นธรรมชาติแบบที่ผมไม่เคยได้จากหัวเข็มนี้ ด้วยความที่เป็นหัว MC Low ที่ปลายเข็มเล็กมาก พวกเวทีเสียงที่ฉีกซ้ายขวาจึงทำได้ดี เสียงร้องของ Astrud Gilberto ฉีกไปสุดทางขวามากกว่าหัวเข็มอื่น ๆ ทั้งหมดนี้เก็บคลิปเสียงแล้วครับที่ 

4. การใช้งานร่วมกับ Step-up transformer (SUT)

ปัจจุบันนี้หัวเข็มในท้องตลาดทั่วไป จะชัดเจนว่าทำสำหรับหัว MM หรือ MC ซึ่งส่วนใหญ๋ถ้าเล่นระดับค่อน hi-end หน่อยก็จะเป็น MC low ในย่าน 0.4-0.6 mV ซึ่ง Phono ตัวนี้ก็รองรับหัวเข็มกลุ่มดังกล่าว (ไปจนถึงหัวต่ำๆเช่น 0.15-0.2 mV ที่ทดสอบไป) แต่จะมีปัญหานิดนึงกับหัวเข็มแบบ Mid MC 0.8-1 mV อย่างเช่น EMT หรือ Van Den Hul บางรุ่น ที่ต้องการ Phono stage ที่มีภาคขยาย 50-55 dB ที่ C-57 ไม่มีให้เลือก (จาก 40 dB ที่ High gain MM ไปที่ 64 dB Normal gain MC ข่วง 40-64 dB ไม่มีให้เลือก) ตรงนี้เรามีทางเลือก 2 อย่าง (เอาหัว EMT TSD15  1mV เป็นโจทย์ตั้งนะครับ)

1. เล่นหัว EMT ที่ค่า Normal gain MC 64 dB  ตรงนี้เราต้องลอง และลุ้นว่าความดัง ระดับเสียงโดยรวมจะ”แรง”กว่าตอนฟัง Line level หรือไม่ (เดี๋ยวมีเฉลยตอนท้าย)

2. เลือกเล่น C-57 ที่ MM Mode gain ต่ำสุดแล้วเลือกพ่วงการใช้งานกับ SUT ในที่นี้เราต้องมีความรู้เพิ่มเติมบางอย่างที่ผมจะอธิบายต่อไป

เวลาที่เราจะเล่นแบบที่สอง จะมีหลักคิดดังนี้

1. เราต้องรู้ว่า อัตราขยายรวม ควรเป็นเท่าใด สำหรับหัวเข็มแต่ละประเภท ผมขอให้หลักคร่าว ๆ ดังนี้

2. Gain dB ของ MM Phono stage + Gain dB ที่ได้จากการขยาย SUT  

2.1  ในส่วนของ Gain MM phono ดูจากสเปคเครื่อง อย่าง C-57 เราเลือกค่า Normal gain 34 dB

2.2 ในส่วนของ SUT โดยทั่วไป เขาจะบอก SUT ว่าอัตราขยายกี่เท่า เช่น 1:10 , 1:20 SUT หลายยี่ห้อจะ Tab ได้หลายค่า ในที่นี้ผมใช้ลูกเขียว Altec 4722 ที่เลือก Tab ได้สองค่าคือ 1:18 และ 1:36 

2.3  แปลงจากอัตราขยาย SUT กี่เท่า ๆ เป็น dB จะมีสูตรหาได้ทั่วไป แต่ผมแนะนำ Online Calculator เว็บไซต์นี้ https://circuitdigest.com/calculators/decibel-db-calculator เมื่อแทนค่าลงไป ใน Altec 4722 SUT จะได้ Gain dB เป็น 25.1 และ 31.1 dB  (ขยาย 18,36 เท่าตามลำดับ)

3. เอาค่าผลรวม dB จาก 2.1 + 2.3 แล้วไปเทียบกับอัตราขยายของหัวเข็มที่เราจะใช้ตามตารางข้อ 1 ว่าเหมาะกันไหม ตัวอย่างนี้เช่น EMT tsd15  เป็น Mid MC ต้องการเกนขยายโดยรวมประมาณ 50-55 dB  ถ้าเราจะเลือกใช้ C-57 MM mode 34 dB + SUT 4722 ที่ขยาย 18 เท่า ก็จะได้ gain ขยายรวม 34+25.1 = 59.1 dB เล่นได้ค่อนสูงไปนิดนึง

4. ลองคำนวณค่า Reflect impedance ของ SUT ฝั่ง Primary ว่าอยู่ในเกณฑ์ 5-10 เท่าของ Internal impedance ของหัวเข็มไหม   

คำนวณ Reflect impedance 

Reflect impedance คือ Impedance ฝั่ง Primary ของ SUT ที่เชื่อมต่อกับหัวเข็ม เป็นความต้านทานที่ฝั่งหัวเข็มมองมาทางฝั่ง SUT ว่าจะเจอความต้านทานเท่าไร ในต้นบทความผมได้กล่าวถึงไว้แล้วว่า หลักการคร่าว ๆ คือ Impedance ฝั่งต้นทาง (หัวเข็ม คือ Internal หรือ Coil impedance หัวเข็ม) ควรจะต่ำกว่าฝั่งปลายทาง (ในขั้นตอนนี้คือ SUT) 5-10 เท่า เพื่อให้สามารถขับเสียงอุปกรณ์ปลายทางได้ง่าย และในเรื่องหัวเข็ม กับกราฟที่เขียนในต้นบทความ มันมีผลต่อการตอบสนองความถี่ ถ้าปลายทาง (ฝั่ง Phono หรือ SUT) มีค่า impedance สูงกว่าต้นทาง (Coil impedance) ไม่ถึง 5 เท่า อาจจะมีผลต่อการตอบสนองความถี่เสียงแหลมที่ Drop ลงไป ไม่ Linear ในช่วง Audio banwidth และถ้าปลายทางเกิน 10 เท่าไปมาก ๆ อาจจะมี Spike ของช่วงความถี่สูงได้ 

ทีนี้ถ้าเป็น SUT มาคั่นกลางระหว่างหัวเข็ม และ MM Phono stage เราจะทราบได้อย่างไรว่า Impedance ของขดลวดฝั่ง Primary เป็นเท่าใด เพื่อจะได้พิจารณาว่า Impdedance ของ SUT นั้นที่หัวเข็มมองเห็น (Reflect impedance) เป็นเท่าใด อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม (สูงกว่าหัวเข็ม 5-10 เท่า) หรือไม่  ก็จะมีสูตรคำนวณค่า Reflect impedance หรือ R Primary ดังนี้

โดยมีตัวแปรสำคัญเข้ามาคืออัตราขยาย หรือ Turn ratio ของหม้อแปลงนั้น ๆ เช่นสมมติว่า R ฝั่ง Seondary (ที่ต่อกับ MM Phono) คือ 47000 Ohm เมื่อหม้อแปลงนั้น อัตราขยาย 1:10 จะมีค่า Rprimary = 470 Ohm  ถ้า 1:20 ค่า Rprimary (Reflect impedance) จะเท่ากับ 117 Ohm ทีนี้ก็มีคนทำ Online calculator เราเพียงแต่ใส่ค่าเข้าไป ก็จะได้ตัวเลขออกมา ดังนี้

กลับมาที่ตัวอย่างของเรา หัวเข็ม EMT มี Coil impedance อยู่ที่ 24 Ohm เมื่อมาใช้งานกับ Altec 4722 SUT ที่อัตราขยาย 1:18 จะมีค่า Reflect impedance อยู่ที่ 145 Ohm ก็จะได้ 6.04 เท่าของ Coil impedance หัวเข็ม ก็อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

กล่าวโดยสรุป ถ้าเราจะใช้ หัว EMT tsd15 ต่อผ่าน Altec 4722 SUT ที่ 18 เท่า ไปเข้า MM Phono stage 34 dB ของ C-57 ผลจะเป็นอย่างไร

  • ในแง่ของเกนขยายรวมจะเท่ากับ 25+34 = 59 dB สำหรับหัว 0.8 mV ถือว่าเพียงพอ ค่อนไปทางสูงนิดนึง (ถ้าได้แถวๆ 55 dB จะ Ideal)
  • ในแง่ของ Impedance และการตอบสนองความถี่ ค่า Reflect impedance ของ 4722 ที่ Tab 18 เท่า จะเท่ากับ 145 Ohm = 6.04 เท่าของต้นทาง Coil impedance ของหัวเข็ม (24 Ohm) ถือว่าเหมาะสม

ในทางปฏิบัติ (ในระบบ MC Low cartridge + SUT + MM Phono stage) เราจะให้น้ำหนักของ Gain matching หรือ Impedance matching มากกว่ากัน ? ไม่มีคำตอบที่ตายตัวครับ ทั้ง Gain หรือ Impedance match ล้วนแต่มีค่าเป็น Range ที่ยืดหยุ่นได้ เช่น Gain ที่ทดลอง รวมแล้วต่ำกว่าหรือสูงกว่าที่แนะนำก็ไม่ถึงกับฟังไม่ได้เลย และในมุมมองของ Impedance เช่นกัน แต่ถ้าถามผมว่าให้น้ำหนักของอะไรสำคัญกว่ากัน ผมคิดว่า Gain matching มีความสำคัญกว่า Impedance matching หมายความว่าในประสบการณ์ผม เรื่องของ Impedance matching พอจะ Compromise ยืดหยุ่นได้มากกว่าเรื่องของ Gain matching 

เพื่อความสนุกสนาน เรามาลองตัวอย่างอีกอันนึง หัวเข็ม Denon DL-S1 ที่มีค่า Output 0.15 mV (ค่อนต่ำ Super low) แต่มี Coil impedance ค่อนสูง 40 Ohm (ปกติหัวที่ Output ต่ำขนาดนี้ ถ้าใช้แม่เหล็กคุณภาพสูง ควรมีรอบขดลวดที่ใช้น้อย ค่าความต้านทานขดลวดควรอยู่ที่เลขตัวเดียวไม่เกิน 10 Ohm) มาเล่นกับ Altec 4722 SUT ที่ขยาย 36 เท่า ไปเข้า MM Normal gain 34 dB จะเป็นอย่างไร

ไล่ตามข้อข้างบน 

  • หัว 0.15 mV น่าจะใช้เกนขยายรวมแถวๆ 70 dB
  • เกนขยาย 4722 ที่ 36 เท่า คือ 31 dB บวกกับภาค MM 34 dB เป็นขยายรวม 64 dB (ค่อนต่ำไปนิดนึง ต้องลองต่อฟังดู  ถ้าเราเลือกเอาเข้าช่อง MM High gain 40 dB จะได้รวม = 71 dB ตัวเลขอาจดูดี แต่ต้องลองฟังเทียบกัน ถ้า 64 dB ขยายไหวมีไดนามิกและความดังเพียงพอก็ควรเลือกใช้ เพราะขยายเกินความจำเป็นจะมี Noise พ่วงเข้ามาด้วย)
  • ลองพิจารณา Coil impedance (40 Ohm) เทียบกับ Reflect impedance ว่าเหมาะสมหรือไม่ พบว่า Turn ratio 36 เท่าจะได้ Reflect impedance  36.21 Ohm ถือว่าไม่แมทช์กัน
  • ถ้าจะเชื่อมต่อแบบนี้ จะแก้ปัญหาอย่างไร คำตอบคือเพิ่มความต้านทานฝั่ง Secondary หรือ Phono ให้สูงขึ้น เช่นจาก 47 Kohm เป็น 100 Kohm (ซึ่งใน C57 มีไว้ให้เลือกอยู่แล้ว) ตัวอย่างข้างบนจะช่วยให้ค่า Reflect impedance จาก 36.2 ขึ้นมาเป็น 77 Ohm แล้วทดลองฟังดูว่ามีย่านความถี่สูงลดลงกว่าที่ควรจะเป็นหรือไม่

ตรงนี้ก็เป็นข้อดี และอีกเหตุผลหนึ่งที่ทาง Accuphase ทำตัวเลือกความต้านทาน 100 Kohm มาให้ คือ 1. เพื่อรองรับหัวเข็มสมัยเก่าที่มีค่า Output สูง ๆ และ 2.เพื่อเป็นทางเลือกให้นักเล่นที่ยังชอบใช้ SUT กับ Phono stage อยู่ (เขาอาจจะมี SUT ดี ๆ แพง ๆ ที่อยากจะใช้ต่อกับ Phono ตัวใหม่อย่าง C-57 ก็มีทางเลือกในการปรับแต่งค่า Impedance ได้ โดยไม่ต้องไปหา R มาคร่อมเพิ่มให้รุงรัง)

ในการนี้ ผมได้ทดลองเอา หัว EMT เล่นผ่าน SUT 4722 ที่ 1:36 เข้า MM mode C-57 ที่ 34 dB load 47 Kohm (https://soundcloud.com/emt930/no-more-blues-1) ฟังเทียบกับ หัว EMT เล่นตรงกับ MC Mode ของ C-57 ที่ 64 dB load 1000 ohm (https://soundcloud.com/emt930/n-more-blues-2emt-tsd15c57-mc-lowgain1k) พบว่าทั้งสองแบบฟังได้ทั้งคู่ ไม่มีอาการ Gain overload หรือ Gain + Dynamic ไม่เพียงพอ ที่ระดับความดังเท่ากัน การต่อตรงด้วย MC Mode จะเร่ง Volume มากกว่าเล็กน้อย แต่รายละเอียดเนื้อเสียงของการต่อตรง MC Mode น่าฟังกว่า ช่องไฟดนตรีและเสียงแหลมดีกว่า เป็นธรรมชาติกว่า คิดว่าเนื่องจากคุณภาพของ SUT และการแมทช์ชิ่งค่าทางไฟฟ้าต่าง ๆ ที่ยังไม่ลงตัวดีพอ แต่ก็ได้พิสูจน์อย่างหนึ่งว่า MM mode ของ C-57 นั้นเสียงไม่ธรรมดาทีเดียว เมื่อเราใส่หัวเข็มดี ๆ อย่าง MC ตัว EMT เข้าไปก็จะได้เห็นตัวตนที่แท้จริง เชื่อว่าถ้าเลือก SUT ดี ๆ และค่าที่เหมาะสมแล้วเสียงย่อมดีแน่นอน  ทดลองฟังดูจาก Soundcloud ลิงค์ดังกล่าวนะครับ

บทสรุป

C-57 คือ Fully balanced, Solid state 4 input MM, MC Phono stage ระดับ HI-END มันไม่ใช่ตัวปรับปรุงโฉมหรือ Minor change จากตัว C-47 แต่เสียงมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ Background noise เงียบสนิท เนื้อเสียง Warm อุ่น ไม่บาง อิมเมจ และ Soundstage แม่นยำ จัดได้ว่าเป็น Phono ระดับ HI-END ที่ยี่ห้ออื่นจะต้องมา Banchmark ด้วย ยืนยันถึงความจริงจังของความเป็น Accuphase ที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทอย่างไม่หยุดยั้ง และได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมของทุกก้าวของการพัฒนา หาโอกาสไปรับฟังกันนะครับที่บริษัท ไฮเอ็นด์ ออดิโอ (1979) จำกัด และพันธมิตร่วมค้าอีกหลายร้าน

_________________________