…อยากรู้ไหม? อัลบั้มใดที่ถูกนักฟัง-นักเล่นเครื่องเสียง “มองข้ามมากที่สุด” และนี่คือ 25 อัลบั้ม ที่ลงความเห็นว่า ถูกมองข้ามมากที่สุด
จากการสำรวจของนักเล่นเครื่องเสียงของทางต่างประเทศกว่า 1,000 คน…ทั้งนี้อาจจะมีบางอัลบั้มที่นักฟัง-นักเล่นเครื่องเสียงบ้านเราไม่เคยได้ฟัง ไม่เคยรู้จักกระทั่งศิลปินผู้ผลิตผลงานด้วยซ้ำ จึงขอนำบทความนี้ของ Jolina Landicho (เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2025) มาถ่ายทอดทัศนะให้เรา-ท่านได้เปิดโลกทัศน์รับรู้กัน…ตรงใจ โดนใจ ไม่น่าสนใจอะไรอย่างไงก็ว่ากันไปครับ แต่อย่างน้อยทัศนะการเลือกสรรอัลบั้มเหล่านี้ พิสูจน์ให้เห็นว่า คำชมเชยจากนักวิจารณ์และผลกระทบที่เลิศล้ำ ก็มิได้มาคู่กันเสมอไป อีกทั้งใช่ว่าทุกอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมจะได้รับความสนใจอย่างที่ควรจะเป็น บางอัลบั้มขายดี แต่กลับถูกนักวิจารณ์มองข้าม ขณะที่บางอัลบั้มก็มีอิทธิพลต่อแนวเพลงต่าง ๆ อย่างเงียบ ๆ โดยไม่เคยก้าวเข้าสู่กระแสหลัก และจากนี้ไป นี่คือ 25 อัลบั้มที่เหล่านักฟัง-นักเล่นเครื่องเสียงของทางต่างประเทศกว่า 1,000 คน มีความคิดเห็นว่า สมควรได้รับการยอมรับมากกว่านี้ และนี่คือ ทัศนะของพวกเขา :-

1. Out of the Blue-Electric Light Orchestra (1977)
อัลบั้มคู่ของ Jeff Lynne คือ สุดยอดแห่งการผสมผสานดนตรีร็อก การเรียบเรียงดนตรีแบบออร์เคสตรา และเสียงประสานแบบประสานเสียง (Choir-Like Harmonies) เขาสร้างสรรค์ผลงานด้วยการบรรเลงกีตาร์ เครื่องสังเคราะห์เสียง (Synthesizers) และเครื่องสาย (String Section) อันเป็นเอกลักษณ์ของ ELO อย่างพิถีพิถัน แม้กระทั่งบันทึกเสียงฟ้าร้องจริง ๆ อันทรงพลังเพื่อสร้างบรรยากาศ
เมื่อออกจำหน่าย Rolling Stone มีความเห็นว่า อัลบั้มนี้ “ไร้ชีวิตชีวาอย่างน่ากลัว” (Horrifyingly Sterile) แต่เมื่อเวลาผ่านไป นักวิจารณ์ก็ประเมินอัลบั้มนี้ใหม่อีกครั้งว่า เป็นหนึ่งในอัลบั้มคู่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด
แม้ว่า Out of the Blue จะมียอดขายทั่วโลกราว 10 ล้านชุด แต่ผลงานชิ้นนี้ก็ยังถูกมองว่า ไม่ได้รับความนิยม (Underrated) เท่าที่ควรสำหรับนักฟังเพลงหลายคน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระแสตอบรับจากนักวิจารณ์ในช่วงแรกบดบังความงดงามทางศิลปะของผลงานชิ้นนี้
ถึงกระนั้น เวทีเสียงสเตริโอที่กว้าง การเรียบเรียงดนตรีที่สุดอลังการ และท่วงทำนองที่เน้นจังหวะฮุก (Hook) ได้กลายเป็นต้นแบบของวงดนตรีซิมโฟนิก และบาโรก-ป๊อป (Baroque-Pop) ในยุคหลัง ๆ

2. Woodface-Crowded House (1991)
อัลบั้ม Woodface สร้างสรรค์โดย Mitchell Froom และมิกซ์โดย Bob Clearmountain ถ่ายทอดความอบอุ่นและความแจ่มชัดของเสียงประสาน (Harmonies) ของ Neil และ Tim Finn ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Tim มาร่วมแจมในอัลบั้มนี้ การเรียบเรียงเสียงประสานนั้นสะอาดและสมดุล เผยให้เห็นถึงการแต่งเพลงอย่างโดดเด่น โดยไม่กลบเสียงดนตรีที่แทรกอยู่ในเทคนิคการผลิต
ถึงแม้จะไม่สอดคล้องกับเทรนด์ยุคกรันจ์ (Grunge-Era) ที่ครองคลื่นวิทยุในสหรัฐอเมริกา แต่มันก็ได้รับการยกย่องอย่างยาวนานในฝีมืออันประณีตของมัน ยกตัวอย่างเช่น เพลงนี้ขึ้นสูงสุดที่อันดับ 82 บนชาร์ต Billboard 200 ของสหรัฐอเมริกา แต่กลับสามารถไต่ขึ้นสู่ท็อป 10 ของสหราชอาณาจักรได้ ซึ่งส่วนหนึ่งต้องขอบคุณแฟนเพลงที่เหนียวแน่นของวง
อย่างไรก็ตาม หลายคนเชื่อว่า เพลงนี้ยังไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร…
บทเพลงของ Neil Finn ในอัลบั้มนี้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับ Paul McCartney ในด้านความแข็งแกร่งของท่วงทำนอง และเสน่ห์ของเนื้อร้อง แฟน ๆ และนักวิจารณ์หลายคนมองว่า นี่เป็นผลงานที่สมบูรณ์แบบที่สุดของวง มีอิทธิพลต่อวงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟ ป็อป/ร็อกในยุค 90 ที่ให้ความสำคัญกับเพลงที่สร้างสรรค์อย่างดี (Well-Crafted Songs) มากกว่าเสียงดนตรีที่ทันสมัย (Fashionable Sounds)

3. Soul Mining-The The (1983)
นี่เป็นผลงานเปิดตัวของ Matt Johnson ผสมผสานเสียงกลองแมชชีน (Drum Machines) เสียงซินธ์เบสที่เร้าใจ และลูกเล่นที่คาดไม่ถึงอย่างเปียโนฮอนกี-ทองก์ (Honky-Tonk Piano) หีบเพลงชัก (Accordion) และเครื่องเคาะ-กระทบ (Percussion) แบบตะวันออก โซโลเปียโนยาว ๆ ของ Jools Holland ในเพลง “Uncertain Smile” ซึ่งมักถูกกล่าวขานว่า ทำในเทคเดียว ก็ทำให้เพลงนี้มีความรู้สึกผ่อนคลาย และเป็นธรรมชาติ ตัดกับจังหวะที่โปรแกรมไว้ (Programmed Beats)
ในเวลานั้น นักวิจารณ์ยกย่องจอห์นสันว่า เป็นหนึ่งในศิลปินหน้าใหม่ที่สำคัญที่สุดแห่งทศวรรษ โดยกล่าวถึงโปรดักชั่นที่เปี่ยมไปด้วยรายละเอียด และเข้มข้นของอัลบั้มนี้ เปรียบเสมือนต้นแบบของการผสมผสานเนื้อเพลงที่หม่นหมอง และเป็นส่วนตัวเข้ากับการเรียบเรียงที่ชวนเต้นรำ ซึ่งต่อมาศิลปินอย่าง Nine Inch Nails และ LCD Soundsystem ก็หันมาใช้แนวทางนี้
ถึงกระนั้น อิทธิพลของวง ‘The The’ ก็แทบจะไม่ถูกกล่าวถึงในปัจจุบัน ทำให้อัลบั้ม “Soul Mining” กลายเป็นบันทึกสำคัญอย่างเงียบ ๆ ในวิวัฒนาการของดนตรีซินท์ ร็อกแนวสารภาพบาป (Confessional Synth-Rock)

4. Odessey and Oracle-The Zombies (1968)
อัลบั้ม “Odessey and Oracle” บันทึกเสียงที่ Abbey Road ในปี 1967 ด้วยงบประมาณที่จำกัด นำเสนอ Mellotron Strings+เสียงประสานอันไพเราะ และไลน์เบสอันสร้างสรรค์
‘The Zombies’ เป็นผู้ผลิตอัลบั้มนี้ด้วยตนเอง โดยมี Geoff Emerick ร่วมทำงานด้านวิศวกรรมในบางเซสชัน ด้วยเหตุนี้ เสียงร้องนำที่แหบพร่าของ Colin Blunstone และเสียงประสานอันซับซ้อนของวง จึงถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างคมชัด ซึ่งแท้จริงแล้ว, นักดนตรียังคงยกย่องให้เพลงนี้เป็นผลงานชิ้นเอกด้านการแต่งเพลง และการเรียบเรียงเพลง มีอิทธิพลต่อศิลปินมากมายตั้งแต่ Paul Weller ไปจนถึง The Decemberists
แต่เพลงนี้ไม่ได้ติดชาร์ตในสหราชอาณาจักรเมื่อวางจำหน่าย และขึ้นถึงอันดับ 95 ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น โดย ‘Time of the Season’ กลายเป็นเพลงฮิตหลังจากที่วงได้แยกวงไปแล้ว

5. The Golden Age of Wireless-Thomas Dolby (1982)
Dolby เข้าถึง (Approached) สตูดิโอราวกับเวิร์กช็อป เขาสร้างเครื่องสังเคราะห์เสียงของตัวเองขึ้นมา และตั้งโปรแกรมเสียงตั้งแต่ต้นจนจบ ผลลัพธ์ที่ได้คือ อัลบั้มนี้อัดแน่นไปด้วยท่วงทำนองอะนาลอก ซินธ์ (Analog Synth Melodies) ที่อบอุ่น จังหวะกลองที่คมชัด และรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเสียงโซนาร์ใต้น้ำ (Submarine Sonar) และเสียงพูดคุยทางวิทยุ (Radio Chatter) ที่สอดแทรกอยู่ในมิกซ์ ในขณะที่ Andy Partridge จาก XTC ยังได้เพิ่มหีบเพลงปาก (Harmonica) เข้าไปในเพลง “Europa and the Pirate Twins” อีกด้วย
Rolling Stone ระบุว่านี่คือ “หนึ่งในอัลบั้มเปิดตัวที่น่าประทับใจที่สุด” ของปี โดยพบว่า เพลงของ Dolby “ไพเราะจับใจไม่แพ้ผลงานของ Paul McCartney”
อย่างไรก็ตาม อัลบั้มนี้ถูกบดบังรัศมีด้วยวงดนตรีซินธ์ป็อปชื่อดัง และไม่เคยประสบความสำเร็จทางการค้าในระดับเดียวกัน

6. The Crossing-Big Country (1983)
“The Crossing” โปรดิวซ์โดย Steve Lillywhite ขึ้นชื่อเรื่องเสียง “กีตาร์ปี่สก็อต” (Bagpipe Guitar) ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นด้วย E-Bow Sustainers และเอฟเฟกต์ต่าง ๆ รวมถึงการมิกซ์เสียงกลองที่หนักแน่น และทรงพลังของ Mark Brzezicki อยู่ตรงหน้า
โปรดิวซ์นี้เปิดโอกาสให้กับท่วงทำนองโฟล์ก และเสียงประสานที่สลับซับซ้อน แต่ยังคงความหนักแน่นและชัดเจน การผสมผสานสเกลที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเซลติก (Celtic-inspired) เข้ากับพลังอารีน่าร็อก (Arena-Rock) ได้ปูทางไปสู่การแสดงโฟล์ก-ร็อก และโฟล์ก-พังก์ในยุคหลัง
อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายด้วยยอดขายระดับแพลทินัม โดดเด่นกว่าแนวซินธ์ ป็อปที่ครองตลาดในช่วงต้นยุค 80 แต่ถึงแม้จะมีเพลงฮิตในช่วงแรก ๆ พวกเขาก็ไม่ได้รักษาชื่อเสียงระดับโลกไว้ได้เทียบเท่ากับ U2 ซึ่งบดบังความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาไปบางส่วน

7. Declaration-The Alarm (1984)
เพื่อสร้างเสียง “โฟล์ค-พังก์” อันเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา Alan Shacklock ผู้เป็นโปรดิวเซอร์ได้ผสมผสานเสียงกีตาร์อะคูสติกเข้ากับริฟฟ์กีตาร์ไฟฟ้า และฮาร์โมนิกา นั่นคือ ที่มาของเพลงอย่าง “68 Guns” ที่มาพร้อมกับเสียงกลองหนักแน่น และเสียงประสานประสานที่จะทำให้คุณได้ยินเสียงร้องประสาน และเสียงปรบมือแบบแก๊ง อัลบั้มนี้หลีกเลี่ยงเสียงรีเวิร์บ (Reverb) และเสียงซินธ์ที่มากเกินไป ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของร็อกช่วงกลางยุค 80s แต่เลือกใช้เสียงที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา (Straightforward Sound)
บทวิจารณ์หนึ่งโต้แย้งอย่างท้าทายว่า หากคุณคิดว่าอัลบั้ม War ของ U2 มีเพลงสรรเสริญคนรุ่นแล้ว, “คุณน่ะไม่เคยฟัง Declaration เลย”
นอกเหนือจากเสียงดนตรีแล้ว ความหวังอันแรงกล้า และเพลงสรรเสริญสังคมที่ตระหนักถึงความสำคัญของอัลบั้มนี้ ก็ได้ปูทางไปสู่ดนตรีโฟล์ค-พังก์ นอกจากนี้ อัลบั้มนี้ยังมีอิทธิพลต่อวงการดนตรีคริสเตียน ร็อก และพังก์เชิงบวก (Positive Punk) ด้วยแนวทางที่แฝงความหวังอย่างเปิดเผยต่อดนตรีหนักหน่วง

8. Clutching at Straws-Marillion (1987)
“Clutching at Straws” ซึ่งผลิตและควบคุมโดย Chris Kimsey ถ่ายทอดทุกรายละเอียดอันน่าทึ่งของ Fish (Derek William Dick) นักร้องนำของวงได้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่วลีกระซิบไปจนถึงเสียงคำรามที่เต็มอิ่ม โซโลที่เน้นซัสเทนของ Steve Rothery แทรกซึมผ่านมิกซ์ได้อย่างแนบเนียน ขณะที่ซินธ์ เท็กซ์เจอร์ของ Mark Kelly ช่วยเพิ่มมิติโดยไม่รบกวนเสียงกีตาร์
ในเพลง ‘Warm Wet Circles’ การเรียบเรียงเริ่มต้นด้วยเสียงกีตาร์อาร์เปจโจ (Arpeggio) อันละเอียดอ่อน ก่อนที่เสียงเบส กลอง และแพด (Pads) จะเข้ามาทีละตัว แต่ละตัวจะอยู่ในสนามเสียงสเตอริโอ (Stereo Field) อย่างชัดเจน การใส่ใจในรายละเอียดนี้ทำให้อัลบั้มนี้ดื่มด่ำตั้งแต่ต้นจนจบ
มักถูกเรียกว่า เป็นหนึ่งในผลงานยุคแรก ๆ ที่แข็งแกร่งที่สุดของ Marillion ซึ่งแสดงให้เห็นว่า อัลบั้มคอนเซ็ปต์ในช่วงปลายยุค 80 สามารถมีพื้นฐานมาจากเรื่องราวส่วนตัวที่ดิบเถื่อนมากกว่าที่จะเป็นแฟนตาซี อิทธิพลของอัลบั้มนี้สามารถได้ยินได้ในวงดนตรีโปรเกรสซีฟรุ่นหลัง ๆ เช่น Dream Theater และ Porcupine Tree ซึ่งให้เครดิต Marillion ในการพิสูจน์ว่า คอนเซ็ปต์และความสมจริงสามารถมาคู่กันได้อย่างแนบเนียน (Hand In Hand)

9. Safe as Milk-Captain Beefheart & His Magic Band (1967)
“Safe as Milk” โปรดิวซ์โดย Bob Krasnow ถ่ายทอดการผสมผสานอันแปลกประหลาดของเดลต้า บลูส์ (Delta Blues) ไซเคเดเลีย (Psychedelia) และการาจ ร็อก (Garage Rock) ของ Don Van Vliet ได้อย่างแจ่มชัดชนิดที่ว่าน่าประหลาดใจในยุคนั้น
ลีลาสไลด์กีตาร์ของ Ry Cooder วัยหนุ่ม มอบเสียงบลูส์สะอาดใส ใต้เสียงร้องโหยหวนดิบ ๆ ของ Beefheart มิกซ์โมโนนี้หนักแน่น ด้วยเสียงเบสที่ฟัซซ์ (Fuzzed Bass) และกลองที่หนักแน่น ให้ความรู้สึกราวกับเป็นพังก์ (Punk-Like) ก่อนหน้านี้ในวิชาชีพการงานของ Beefheart เคยร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ David Gates ในซิงเกิล ‘Diddy Wah Diddy’ ซึ่งโดดเด่นด้วยเบสฟัซซ์ แต่การบันทึกเสียงในอัลบั้มนี้แยกออกจากอัลบั้ม
การทดลองที่โดดเด่นในอัลบั้มนี้ ได้แก่ เทอร์มินอันน่าขนลุก (Eerie Theremin) ของ Samuel J.Hoffman ในเพลง “Electricity” ซึ่งช่วยเสริมบรรยากาศที่เหนือจินตนาการให้กับอัลบั้มนี้
“Safe as Milk” มักถูกมองว่า เป็น Touchstone สำหรับศิลปิน เช่น Tom Waits, John Lydon, Devo และ The Fall ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากการผสมผสานระหว่างความดิบ ความไร้สาระ และเนื้อสัมผัสที่สร้างสรรค์

10. This Year’s Model-Elvis Costello & The Attractions (1978)
Nick Lowe ผู้เป็นโปรดิวเซอร์ ถ่ายทอดมิกซ์ที่กระชับ และหนักแน่น เน้นย้ำพลังงานหลัก ๆ ด้วยเหตุนี้ เครื่องดนตรีจึงมีที่ทางของตัวเอง :
• ไลน์เบสของ Bruce Thomas ไพเราะ แต่ไม่หนักแน่นจนเกินไปสำหรับเสียงต่ำ
• เสียงสแนร์ของ Pete Thomas มีเสียงแตกที่แหลมคม และฉับไว ขับเคลื่อนเพลง
• เสียงออร์แกนของ Steve Nieve ไม่ได้ถูกบดบังด้วยเสียงพื้นหลัง แต่มักจะเป็นเสียงนำ ไม่ว่าจะเป็นเสียง Farfisa ราวกับงานคาร์นิวัลในเพลง “Chelsea” หรือเสียง Vox Continental ที่ดังกระหึ่มในเพลง “Pump It Up”
ด้วยการจับคู่เนื้อเพลงที่คมคาย และกินใจเข้ากับการเรียบเรียงที่หนักแน่นและดุดัน อัลบั้มนี้จึงกลายเป็นมาตรฐานสำหรับดนตรีแนวนิวเวฟ (New Wave) และเพาเวอร์ป็อป (Power-Pop) วงดนตรีอย่าง The Jam และ Joe Jackson ได้นำเอาจังหวะที่เร่งรีบ และความแม่นยำในการแต่งเพลงมาใช้ ขณะที่วงดนตรีในยุคหลังอย่าง Weezer ก็สืบทอดพรสวรรค์ในการแต่งเพลงที่มีทำนองหนักแน่น และทรงพลังของพวกเขามา

11. It’s a Shame About Ray-The Lemonheads (1992)
อัลบั้ม “It’s a Shame About Ray” บันทึกเสียงที่ Cherokee Studios มีพลังที่สดใสราวกับมีชีวิต ซึ่งมาจากการที่เครื่องดนตรี และเสียงร้องใช้พื้นที่ร่วมกัน
โปรดักชันนี้พยายามหลีกเลี่ยงความประณีตในสตูดิโออย่างหนักหน่วง ปล่อยให้ข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ โผล่ออกมา ทำให้การแสดงดูสมจริง เสียงกีตาร์ที่สั่นไหวถูกแพนให้กว้างขึ้น เหลือพื้นที่ตรงกลางไว้สำหรับเสียงร้องของ Evan Dando และเสียงประสานของ Juliana Hatfield
แม้ว่า อัลบั้มนี้จะถูกบดบังรัศมีด้วยดนตรีแนวกรันจ์ (Grunge) ในปี 1992 แต่อัลบั้มนี้ก็นำเสนอดนตรีทางเลือกที่สดใสและไพเราะกว่า ซึ่งยิ่งทำให้อัลบั้มนี้มีชื่อเสียงมากขึ้น การผสมผสานระหว่างดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อก (Alt-Rock) เพาเวอร์ป็อป (Power-Pop) และโฟล์ก ส่งผลให้วงดนตรีรุ่นหลัง ๆ มองหาการผสมผสานความตรงไปตรงมาทางอารมณ์เข้ากับการแต่งเพลงที่ติดหูและยั่งยืน

12. The Final Cut-Pink Floyd (1983)
คอนเซ็ปต์อัลบั้มของ Roger Waters ถือเป็นทั้งประสบการณ์ด้านเสียงและการแสดงออกทางการเมือง โปรดักชันนี้ใช้ช่วงไดนามิกที่กว้างมาก จับภาพได้อย่างคมชัดทุกรายละเอียด คุณจะสัมผัสได้ถึงเอฟเฟกต์ของ Foley เช่น เสียงฝีเท้า เสียงปืน และเสียงร้องที่สอดประสานกันจนให้ความรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องดนตรี
แม้จะสร้างความแตกแยกในการเปิดตัว แต่ปัจจุบันกลับได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในผลงานที่ดื่มด่ำที่สุดของวง Pink Floyd การผสมผสานระหว่างการออกแบบเสียงประกอบภาพยนตร์ จังหวะการเล่าเรื่อง และการเรียบเรียงดนตรี ได้ส่งอิทธิพลต่ออัลบั้มแนวคิดในยุคหลัง ๆ ที่มุ่งผสานประเด็นส่วนตัว และประเด็นทางการเมืองเข้าด้วยกัน โดยไม่สูญเสียน้ำหนักทางอารมณ์

13. On The Turn-Kerbdog (1997)
GGGarth Richardson ทำหน้าที่โปรดิวเซอร์ และมิกเซอร์โดย Joe Barresi ทุ่มสุดตัวเพื่อให้ได้โทนเสียงกีตาร์ที่สมบูรณ์แบบ พวกเขาทดสอบแอมป์และตู้แอมป์ประมาณ 25 ตัว ก่อนบันทึกเสียง ผลลัพธ์ที่ได้คือ เสียงที่หนาและอิ่มแน่น ซึ่งยังคงมีพื้นที่ให้เสียงเบสและกลองได้เล่นอย่างคมชัด
เพลงอย่าง ‘Sally’ และ ‘Mexican Wave’ สร้างสมดุลระหว่างความหนักแน่นแบบอัลเทอร์เนทีฟ เมทัล (Alt-Metal) กับท่อนฮุกแบบอัลเทอร์เนทีฟ ร็อก (Alt- Rock) ทำให้ริฟฟ์ (Riffs) น่าจดจำไม่แพ้ประสานเสียง (Choruses) นักวิจารณ์ในยุคนั้นยกย่องพลัง และความแม่นยำของเพลงนี้ แต่การโปรโมตที่ไม่ค่อยดีทำให้เพลงนี้ไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนฟังได้อย่างกว้างขวาง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพลงนี้กลายเป็นอัลบั้มโปรดของศิลปินอย่าง Biffy Clyro ไปจนถึง Frank Turner ต่างยกย่องให้เป็นหนึ่งในอัลบั้มร็อกที่สร้างสรรค์อย่างประณีตที่สุดในยุค 90

14. Temple of Low Men-Crowded House (1988)
Neil Finn และทีมงานตั้งใจเปลี่ยนเสียงแจงเกิลสดใส (Sunny Jangle) ให้กลายเป็นโทนเสียงที่ “หม่นหมองและครุ่นคิดมากขึ้น” โดยทำงานร่วมกับ Mitchell Froom และวิศวกรเสียง Tchad Blake เพื่อสร้างสรรค์เสียงที่มีเนื้อเสียงเข้มข้น นั่นคือ เหตุผลที่อัลบั้มนี้จึงเต็มไปด้วย “เสียงคีย์บอร์ดที่ประดับประดาแบบ The Beatles” และเสียงประสานอันบริสุทธิ์ที่ทุกรายละเอียดล้วนถ่ายทอดห้วงอารมณ์ออกมา
ในปี 1988 นักวิจารณ์ต่างตั้งข้อสังเกตว่า เพลงเหล่านี้ “เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม เต็มไปด้วยความเข้มข้น และความกังวลส่วนตัว” เดิมที Rolling Stone ให้ 4 ดาว และบทวิจารณ์ย้อนหลังยกย่องสถานะของเพลงนี้ในฐานะ “เพลงคลาสสิกอันเป็นที่รัก” (Beloved Classic) สำหรับแฟนเพลงป๊อปผู้รักการอ่าน
อัลบั้มนี้ขาดซิงเกิลฮิต และไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่อิทธิพลของเพลงนี้ยังคงพิสูจน์ให้เห็นว่า อัลบั้มชุดที่สองของวงดนตรีสามารถเน้นความลึกซึ้ง และความซื่อสัตย์มากกว่าการทำซ้ำในเชิงพาณิชย์

15. Carnavas-Silversun Pickups (2006)
“Carnavas” เป็นผลงานการผลิตของ Dave Cooley ที่เต็มไปด้วยเสียงกีตาร์ที่หนักแน่น และการไล่เรียงบรรยากาศ (Atmospheric Layering)
นักวิจารณ์ได้เปรียบเทียบเพลงนี้กับเพลง “Kevin Shields นักร้องนำวง The Smashing Pumpkins” เนื่องมาจากการผสมผสานระหว่างเนื้อร้องแบบชูเกซ (Shoegaze Textures) และท่อนฮุกอัลเทอร์เนทีฟร็อก
อัลบั้มนี้วางตัวอยู่ในจุดที่แปลก ๆ ตอนวางจำหน่าย ไพเราะเกินไปสำหรับแฟนเพลงชูเกซแบบบริสุทธิ์ และเสียงก็แน่นเกินไปสำหรับคนฟังทั่วไป แต่ปัจจุบันกลับถูกมองว่า เป็นเพลงคลาสสิกกลางยุค 2000
วงดนตรีอินดี้และอัลเทอร์เนทีฟร็อกรุ่นหลังหลายวงได้นำแนวทางมาจากการที่วง Carnavas ซ่อนทำนองที่ซับซ้อนไว้ภายใต้เสียงบิดเบือน แต่ยังคงร้องได้

16. Going for the One-Yes (1977)
“Going for the One” ผสมผสานความซับซ้อนแบบโปรเกรสซีฟของวงเข้ากับพลังร็อกที่ฉับไวยิ่งขึ้น เสียงกลองของ Alan White คมชัดและหนักแน่น เสียงกีตาร์ของ Steve Howe เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา และเสียงร้องของ Jon Anderson โดดเด่นเหนือระดับ
ช่วงอันยิ่งใหญ่ที่สุดของอัลบั้มคือ ‘Awaken’ ซึ่งมีออร์แกนท่อขนาดใหญ่บันทึกเสียงที่โบสถ์เซนต์มาร์ติน (St. Martin’s Church) ในเมืองเวอแว (Vevey) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อีกเพลงหนึ่งคือ ‘Parallels’ ซึ่งใช้ออร์แกนของโบสถ์ที่โบสถ์เอกลีส เดส์ ปลองช์ (Église des Planches) ในเมืองมงเทรอซ์ (Montreux) ซึ่งเป็นรายละเอียดที่มักสับสนระหว่างสองเพลงนี้
การบันทึกอัลบั้มนี้บันทึกเสียงสะท้อนตามธรรมชาติ (Natural Reverb) และการปรากฏของเครื่องดนตรี ทำให้ดนตรีมีสเกลที่เอฟเฟกต์ในสตูดิโอเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเทียบได้ แม้ว่า บางครั้งจะถูกบดบังด้วยผลงานคลาสสิกยุคก่อน ๆ ของวง Yes แต่ “Going for the One” ก็ได้รับความนับถือจากวงดนตรีซิมโฟนิก และนีโอโปรเกรสซีฟในยุคหลัง ๆ การผสมผสานระหว่างการเรียบเรียงที่ซับซ้อน และความฉับไวของดนตรีร็อกพิสูจน์ให้เห็นว่า โปรเกรสซีฟร็อกยังคงสามารถพัฒนาและเติบโตได้ในช่วงปลายยุค 70

17. Everybody Else Is Doing It, So Why Can’t We?-The Cranberries (1993)
ผลงานเปิดตัวนี้รังสรรค์โดย Stephen Street ถ่ายทอดความหวานแบบเซลติก-โฟล์ก ผสมผสานกับเสียงร็อกที่ชวนฝันและเปี่ยมไปด้วยเสียงก้องกังวาน เสียงกีตาร์ที่กังวาน เสียงเครื่องสายอันนุ่มนวล และเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ Dolores O’Riordan ผสมผสานกันอย่างลงตัว สร้างสรรค์เสียงที่อบอุ่นและดื่มด่ำ
ยกตัวอย่างเช่น ในเพลง ‘Dreams’ เสียงกีตาร์อะคูสติกที่บรรเลงขึ้นเป็นจังหวะที่แผ่วเบา แต่ยังคงความชัดเจนในมิกซ์เพลงไว้ได้ ถึงแม้ว่า อัลบั้มนี้จะประสบความสำเร็จในระดับมัลติ-แพลทินัม (Multi-Platinum) ในสหรัฐอเมริกา และติดอันดับชาร์ตเพลงของสหราชอาณาจักร แต่นักวิจารณ์ในยุคนั้นกลับประเมินค่าอัลบั้มนี้ต่ำเกินไป เพราะไม่เข้ากับอารมณ์เพลงกรันจ์ในช่วงต้นยุค 90
เมื่อเวลาผ่านไป อัลบั้มนี้ได้กลายเป็นมาตรฐานในการผสมผสานท่วงทำนองที่ได้รับแรงบันดาลใจจากดนตรีโฟล์กเข้ากับเนื้อเสียงแบบชูเกซ (Shoegaze-Like Textures) ซึ่งเป็นดนตรีที่วงดนตรีอินดี้ที่มีนักร้องนำเป็นผู้หญิงในยุคหลังหลายวงได้นำออกมาใช้

18. Axe Victim-Be-Bop Deluxe (1974)
ผลงานเปิดตัวของ Bill Nelson กับ Be-Bop Deluxe ผสมผสานเสียงฮุกที่ติดหูเข้ากับการเรียบเรียงเสียงกีตาร์แบบหลายชั้น ตั้งแต่ลีดแบบเฟสไปจนถึงอาร์เพจจิโอ (Arpeggios) ที่ใสสะอาด เพิ่มความลุ่มลึก การเล่นที่แม่นยำโดยไม่สูญเสียพลัง และโปรดักชั่นก็ช่วยให้แต่ละชั้นได้หายใจ ดังนั้น เพลงอย่าง ‘Jet Silver and the Dolls of Venus’ จึงแสดงให้เห็นว่า Nelson สามารถผสมผสานการแสดงละครเวทีแบบ Glam เข้ากับดนตรีที่จริงจังได้อย่างไร
แม้จะถูกมองข้ามในประวัติศาสตร์ร็อกยุค 70 แต่ Axe Victim ก็ได้รับคำชมจากนักกีตาร์ รวมถึงนักดนตรีพังก์ ด้วยโทนเสียงที่ทรงพลัง และเสียงคอร์ดที่สร้างสรรค์ ถือเป็นอัลบั้มแนวแกลม-อาร์ต (Glam-Art) ชั้นยอด เปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยาน เข้าถึงง่าย และทรงอิทธิพลยิ่งกว่าที่ชาร์ตเพลงเคยบอกไว้

19. Out of the Silent Planet-King’s X (1988)
King’s X เปิดตัวด้วยเสียงที่ผสมผสานริฟฟ์กีตาร์แบบดรอป-ดี (Drop-D Guitar) หนักแน่นเข้ากับเสียงประสานสามส่วนอันทรงพลัง ซึ่งเป็นการผสมผสานที่โดดเด่นในช่วงปลายยุค 80s โปรดิวซ์โดย Sam Taylor มิกซ์นี้เน้นย้ำถึงความแตกต่างระหว่างเสียงเบสทุ้มลึกของ Doug Pinnick กับเสียงร้องอันทรงพลัง
Jeff Ament แห่งวง Pearl Jam เคยกล่าวไว้ว่า “King’s X เป็นผู้คิดค้นดนตรีกรันจ์”
คุณคงเข้าใจเหตุผลนั้นแล้ว เพราะริฟฟ์ที่หนักแน่น เสียงประสานที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ และกระแสดนตรีอันลึกซึ้งที่แฝงไปด้วยจิตวิญญาณ ล้วนเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงดนตรีแนวซีแอตเทิลยุคต้นทศวรรษ 1990 (Early ’90s Seattle Sound) ได้อย่างดี
สมาชิกวง Pantera และ Alice in Chains ยังได้ชี้ให้เห็นถึงอัลบั้มนี้ว่า เป็นอิทธิพลสำคัญ โดยยกตัวอย่างความลึกซึ้ง และความกล้าหาญในการดัดแปลงกฎเกณฑ์ของแนวเพลง

20. Ladies and Gentlemen We Are Floating in Space-Spiritualized (1997)
Jason Pierce ได้รวบรวมวงออร์เคสตราขนาดเล็ก คณะนักร้องประสานเสียงกอสเปล (Gospel Choir) และวงเครื่องเป่า (Horn Section) เพื่อสร้างอัลบั้มที่มีขอบเขตกว้างใหญ่ไพศาล อัลบั้มนี้บันทึกเสียงในสตูดิโอทั่วเมมฟิส, ลอสแอนเจลิส และนิวยอร์ก โดยผสมผสานรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของโปรดักชั่นเข้ากับเสียงอันทรงพลังที่โอบล้อม
เพลงไตเติ้ลแทร็กเริ่มต้นด้วยเสียงออร์เคสตราที่นุ่มนวล ก่อนจะเปิดด้วยจังหวะอันน่าหลงใหลแบบ Velvet Underground แม้ว่า NME จะยกให้เป็นอัลบั้มแห่งปี (Album of the Year) ในปี 1997 แต่ก็ถูกบดบังรัศมีจากผลงานระดับนานาชาติอย่าง OK Computer ถึงกระนั้น ปรัชญา “เล่นเพลงเรียบง่ายให้สุดเหวี่ยงที่สุดเท่าที่จะทำได้” ของอัลบั้มนี้ก็ได้รับการยอมรับจากวงดนตรีแนวโพสต์ร็อก และออร์เคสตราป็อปมากมายนับแต่นั้นมา จึงถือได้ว่า เป็นมาตรฐานที่เงียบงันสำหรับการผลิตผลงานร็อกที่ทะเยอทะยาน

21. Trans-Neil Young (1982)
Neil Young สร้างความตกตะลึงให้กับแฟน ๆ ด้วยการใช้โวโคเดอร์ (Vocoders), ซินธ์ (Synths) และจังหวะอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Beats) ทั้งยังกรอง (Filtering) เสียงของเขาให้กลายเป็นโทนเสียงหุ่นยนต์
เสียงดนตรีนี้ไม่ใช่แค่การทดลองทางสไตล์เท่านั้น เขายังเล่าว่า สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากในการสื่อสารกับ Ben-ลูกชายของเขาเอง ซึ่งมีปัญหาในการพูดอย่างรุนแรง
เพลงอย่าง ‘Sample and Hold’ และ ‘Computer Age’ อัดแน่นไปด้วยเสียงซินธ์เบสที่หนักแน่น เข้ากับเสียงเพอร์คัชชันแบบกลไก (Mechanical Percussion) ที่กระชับฉับไว บางครั้งก็แฝงไว้ด้วยเสียงกีตาร์ที่ดังกระหึ่ม วิธีการเช่นนี้ล้ำหน้าไปหลายปี และมีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังที่ผสมผสานดนตรีร็อก และอิเล็กทรอนิกาเข้าด้วยกัน นำไปสู่ความขัดแย้งอันขมขื่นกับค่าย Geffen Records เกี่ยวกับความเป็นไปได้ทางการค้า แต่หลังจากนั้น “Trans” ก็ได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในผลงานที่โดดเด่น และเป็นส่วนตัวที่สุดของ Young

22. Out of the Storm-Jack Bruce (1974)
“Out of the Storm” โปรดิวซ์โดย Jack Bruce ร่วมกับ Andy Johns อัดแน่นไปด้วยบทเพลงของเขาที่เรียบเรียงอย่างสร้างสรรค์ ดนตรีประสานเสียง และการเล่นเบสอันล้ำสมัยของ Bruce ได้รับการยกย่องจากนักดนตรีแนวโปรเกรสซีฟ และแจ๊ส-ร็อกว่า เป็นเสมือนศิลาฤกษ์ (Touchstone) ตั้งแต่เพลงฟังก์ สวิงอย่าง ‘Keep It Down’ ไปจนถึงเพลง ‘Pieces of Mind’ ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศ
อัลบั้มนี้แสดงให้เห็นถึงฝีมืออันประณีตบรรจง ขณะเดียวกันก็ยังคงความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ และมีชีวิตชีวาไว้ได้…น่าเสียดายที่การเปิดตัวอัลบั้มนี้ต้องสะดุดลง เนื่องจากปัญหาทางค่ายเพลง และการโปรโมตที่จำกัด ซึ่งทำให้อัลบั้มนี้ไม่ได้ครองใจผู้ฟังอย่างที่ควรจะเป็น

23. I’ve Seen Everything-The Trash Can Sinatras (1993)
“I’ve Seen Everything” สร้างสรรค์โดย Ray Shulman แห่ง Gentle Giant ถ่ายทอดดนตรีป๊อประดับแกรนด์สเกลที่เรียบเรียงอย่างประณีตบรรจง ด้วยความแม่นยำอย่างเรียบง่าย เสียงกีตาร์ที่สั่นไหวเป็นชั้นๆ ชัดเจนเป็นชั้นๆ ท่อนเครื่องสาย (String Sections) ที่แทรกเข้ามาในช่วงเวลาที่เหมาะสม และมิกซ์เสียงที่กว้างขวางทำให้เพลงนี้เป็นที่ชื่นชอบของผู้ฟังที่เน้นรายละเอียด
แทร็กอย่าง ‘Easy Read’ ค่อย ๆ สร้างสรรค์ขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยการเล่นประสานกันระหว่างเครื่องสายและกีตาร์ ขณะที่ ‘Hayfever’ ผสมผสานทำนองแบบ Smiths เข้ากับความอบอุ่นของวงออร์เคสตรา ฉบับรีอิชชูแบบดีลักซ์ (Deluxe Reissue) ในปี 2021 ได้รับคะแนน 8.6 จาก Pitchfork ซึ่งยกย่องชุมชนที่รักษาดนตรีของวงให้คงอยู่มาหลายทศวรรษ
โดยรวมแล้ว การเล่นคำอันชาญฉลาด และการแต่งเพลงร่วมกัน ทำให้อัลบั้มนี้กลายเป็นอัลบั้มโปรดของวง อิทธิพลของอัลบั้มนี้สามารถสืบย้อนไปได้จากดนตรีแนวแชมเบอร์ ป็อป (Chamber-Pop) และทวี ป็อป (Twee-Pop) ที่ตามมาในช่วงปลายยุค 90 และ 2000

24. Swagger-The Blue Aeroplanes (1990)
ด้วยฝีมือของนักกีตาร์หลายคนที่บรรเลงเพลง ‘Punked-Up Jangle’ อัลบั้ม “Swagger” จึงถ่ายทอดเสียงกีตาร์ที่ผสานกันอย่างกลมกลืน และหนักแน่นในรูปแบบสเตอริโอที่มีชีวิตชีวา การผลิตยังคงรักษาไลน์กีตาร์แต่ละไลน์ให้โดดเด่น สร้างสมดุลระหว่างริฟฟ์ที่เร้าใจกับอาร์เปจโจที่กังวาน และเปิดพื้นที่ให้กับเสียงร้องสไตล์ Spoken-Word ของ Gerard Langley
เมื่อนำกลับมาเผยแพร่ใหม่ในปี 2006 เพลงนี้ได้รับคำวิจารณ์เชิงบวกมากมาย หลายเพลงให้สี่และห้าดาว โดยนักวิจารณ์เรียกมันว่า “ผลงานชิ้นเอกที่ถูกลืม” (Forgotten Masterpiece)
มีบางคนถึงกับตั้งข้อสังเกตว่า หากเพลงนี้วางจำหน่ายในช่วงกลางยุค 2000 แทนที่จะเป็นต้นยุค 90 สไตล์อันหลากหลายของเพลงนี้อาจเข้าถึงกลุ่มผู้ชมได้กว้างขวางยิ่งขึ้น

25. Earth vs The Wildhearts-The Wildhearts (1993)
“Earth vs The Wildhearts” สร้างสรรค์โดย Simon Efemey ร่วมกับทางวง ระเบิดความมันส์ด้วยป๊อป ฮุก (Pop Hooks) พังก์ กริท (Punk Grit) และกลาม ร็อก (Glam-Rock) สุดเท่ มิกซ์เสียงหนักแน่น แต่สะอาดสะอ้านอย่างน่าทึ่ง คุณจะสัมผัสได้ถึงริฟฟ์หนักแน่น เสียงเบสกระหึ่ม และเสียงร้องประสานของแก๊ง ทั้งหมดนี้โดดเด่นโดยไม่กลายเป็นเสียงแหบพร่า
เพลงอย่าง ‘Greetings From Shitsville’ ผสมผสานฮุคของ Cheap Trick ความเฉียบคมของ Sex Pistols และแสงแวบของยุค Ziggy ของ Bowie เข้าไว้ด้วยกัน
นิตยสาร Classic Rock เคยกล่าวไว้ว่า “มันฟังดูเหมือนวงดนตรีร็อกแอนด์โรลโปรดของคุณทุกวงเล่นเพลงพร้อม ๆ กัน”
น่าเสียดายที่ประวัติศาสตร์อันวุ่นวายของวง ทั้งการทะเลาะเบาะแว้งภายใน ปัญหาสารเสพติด (Substance Issues) และการบ่อนทำลายตัวเอง (Self-Sabotage) ล้วนเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จในกระแสหลักของพวกเขา ถึงกระนั้น ความสามารถในการผสานทำนองเพลงเข้ากับความดุดันของพวกเขาก็ช่วยกำหนดนิยามของวงการฮาร์ดร็อกใต้ดินในสหราชอาณาจักร (UK Hard-Rock Underground) และได้รับความชื่นชมจากนักดนตรีหลากหลายแนว
_______________________________
























