บทเพลงและดนตรีประกอบภาพยนตร์…โลกไม่ลืม The Most of OST (EP.1)

0

เรา ๆ ท่าน ๆ ย่อมหนีไม่พ้นการรับชมภาพยนตร์ บางคนมาก บางคนน้อย บางคนมีส่วนร่วมต้องเข้าไปเกี่ยวพัน ซึ่งภาพยนตร์แต่ละเรื่องก็ล้วนต้องมีเพลง หรือ ดนตรีประกอบภาพยนตร์กันทั้งนั้น แม้แต่ยุคหนังเงียบของชาร์ลี แชปปลิน ก็ยังต้องมีดนตรีบรรเลง สำหรับผมแม้จะเป็นคนไม่ค่อยมีเวลาดูหนัง แต่ด้วยความที่ชื่นชอบการฟังเพลงและดนตรี จึงชื่นชอบกับเพลง/ดนตรีประกอบภาพยนตร์ อย่างที่เรียกกันว่า Original Soundtrack หรือ OST นอกเหนือจากเพลงและดนตรีแนวต่าง ๆ อย่าง แจ๊ส ป๊อบ ร็อก และคลาสสิกที่กำลังค่อย ๆ พัฒนาตนดังนั้น

แต่แม้ว่า ผมจะชื่นชอบ OST แต่ก็แค่เฉพาะภาพยนตร์บางเรื่องที่ฟังแล้วถูกใจในความไพเราะ จูงใจให้รู้สึกฟิลลิ่ง-อินไปกับท่วงทำนอง หรือ ห้วงอารมณ์ของบทเพลง มิใช่ลงลึกไปถึงเรื่องของการประพันธ์ หรือว่า Score ของคนแต่งแต่อย่างใด เอาแค่ว่า ฟังแล้วโดนใจ ก็จะหา OST นั้นมาสะสมเอาไว้ฟัง เวลาที่ห้วงอารมณ์นำพาให้ถวิลหาบทเพลงใน OST นั้น

ทีนี้ เมื่อเก็บสะสมไว้ ก็เลยคิดว่า น่าจะหยิบจับ OST เหล่านั้น มาเล่าสู่กันฟัง ทำนองว่า เป็นคอลัมน์แนะนำบทเพลงและดนตรีประกอบภาพยนตร์…โลกไม่ลืม ที่ผมขอใช้ชื่อคอลัมน์ว่า “The Most of OST” ก็ละกัน โดยคัดเลือก OST ที่อาจจะเรียกได้ว่า อภิมหาซาวด์แทร็ก ซึ่งมีการลงทุนกันมหาศาล มอบหมายให้นักประพันธ์เพลงมีฝีมือทำการแต่ง บทเพลงฟังดูยิ่งใหญ่อลังการ ใช้เครื่องดนตรีนับเป็นร้อยชิ้นในการแสดง รวมไปถึงการใช้เทคนิคอันทันสมัยในยุคนั้น ๆ ทำการบันทึกเสียง

โดยที่จะขออนุญาตหยิบจับมานำเสนอ “The Most of OST” รอบละ 5 เรื่องก็ละกันครับ ซึ่งแต่ละเรื่องที่หยิบจับมานำเสนอนั้น ผมจะมิได้ใช้วิชาการใดๆ ในการวิพากษ์วิจารณ์ เอาแบบที่ฟังแล้วชอบ ฟังแล้วโดนใจ ฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้ง…โอ้ หนอ คนแต่งเขาช่างแต่งได้ไพเราะอลังการงานสร้างขนาดนี้อะนะครับ อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ผมจะมิได้ไล่เรียง หนึ่ง-สอง-สาม-สี่-ห้า ไปตามลำดับความชอบหรอกนะครับ แบบว่า นึกอะไรขึ้นได้ ก็จะนำมาเขียนแนะนำกันไปเรื่อย ๆ

• เปิดประเดิมคอลัมน์ “The Most of OST” กันด้วย :-

1. Ben Hur

ในชื่อภาษาไทย “เบน-เฮอร์” ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์สุดคลาสสิกของ Metro-Goldwyn-Mayer (MGM) ที่ออกฉายในปี ค.ศ.1959 (พ.ศ.2502) นำแสดงโดย ชาร์ลตัน เฮสตัน พระเอกขวัญใจคนทั่วโลก ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเนื้อหายาวเกือบ 4 ชม.ที่อลังการงานสร้างตลอดทั้งเรื่อง ลงทุนสูงมากถึงกว่า 15.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ของยุคนั้น (หนังทำเงิน 146.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ตลอดทั้งเรื่องเป็นการสร้างฉากจริง ๆ คนจริง ๆ แสดง แต่ละฉากทำได้ถึงสุดๆ ทั้งฉาก พายเรือ ฉากรถม้าที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นการแข่งขันรถม้าที่ดีที่สุดในโลก และไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ ทั้งสิ้น โดยไม่มีคอมพิวเตอร์ กราฟฟิก หรือ CG แม้แค่ส่วนหนึ่งส่วนใดของหนัง

Ben Hur มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ศาสนา หน้าที่ ความรัก เพื่อน กระทั่ง โชคชะตา และ ปาฏิหาริย์ ล้วนมีครบรสอยู่ในหนังเรื่องนี้ทั้งหมด ฉากหนึ่งที่ได้รับการตราตรึงเป็นที่พูดถึงกันก็คือ ฉากการถูกตรึงไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเมื่อท่านถูกตรึงไม้กางเขนจนสิ้นพระชนม์ เลือดก็ไหลลงมาพื้นดิน ฝนก็ตก และ เกิดปาฏิหาริย์แม่และน้องสาวได้หายจากโรคเรื้อน นับเป็นไฮไลต์ในตอนท้ายเรื่อง “Ben Hur” กวาดรางวัลออสการ์มากถึง 11 ตัว ซึ่งเท่ากับที่ Titanic (1998) และ The Lord of the Rings : The Return Of The King (2004) กวาดรางวัลนี้มาครองเช่นกัน (แต่กระนั้น ก็ยังไม่เคยมีภาพยนตร์เรื่องใดได้รางวัลออสการ์มากกว่า 11 รางวัลในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์) 

ในส่วนของซาวด์แทร็กนั้น ทาง MGM ได้มอบหมายให้ Miklós Rózsa (18 เมษายน 1907-27 กรกฎาคม 1995) นักแต่งเพลงชาวฮังการี-อเมริกันเป็นผู้รับผิดชอบ Rózsa เป็นที่รู้จัก และยอมรับในฝีมือจากผลงานดนตรีประกอบภาพยนตร์เกือบหนึ่งร้อยเรื่อง ซึ่งโดดเด่นที่เขานั้นยึดมั่นอย่างแน่วแน่ต่อดนตรีคอนเสิร์ตอย่างแท้จริง

Rózsa ประสบความสำเร็จในยุโรปในช่วงแรกๆ ด้วยผลงานออร์เคสตรา Theme, Variations, and Finale (Op.13) ในปี 1933 และมีชื่อเสียงในวงการภาพยนตร์จากผลงานในช่วงแรก ๆ เช่น The Four Feathers (1939) และ The Thief of Bagdad (1940) โปรเจ็กต์หลังทำให้เขาได้ไปฮอลลีวูดเมื่อการผลิตถูกย้ายจากอังกฤษในช่วงสงคราม และ Rózsa ยังคงอยู่ในสหรัฐอเมริกาและได้รับสัญชาติอเมริกันในปี 1946

Miklós Rózsa ผู้ประพันธ์

ตลอดอาชีพของ Rózsa เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 17 ครั้ง ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์ 3 ครั้ง จากเรื่อง Spellbound (1945), A Double Life (1947) และ Ben-Hur (1959) ในขณะที่ผลงานคอนเสิร์ตของเขาได้รับการยกย่องจากศิลปินชื่อดัง เช่น Jascha Heifetz, Gregor Piatigorsky และ János Starker

ทั้งนี้ทั้งนั้น Ben-Hur ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่า เป็นผลงานชิ้นเอกด้านดนตรีประกอบภาพยนตร์ของ Rózsa และเป็นหนึ่งในผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ยาวที่สุดเท่าที่มีการประพันธ์ขึ้น ซึ่ง Rózsa ยังได้ควบคุมวงด้วยตัวเองอีกด้วย Rózsa นั้นค้นคว้าเกี่ยวกับดนตรีกรีกและโรมัน เพื่อนำมาผสมผสานเข้ากับดนตรีประกอบของเขา Rózsa ได้ทำการกำกับวง MGM Symphony Orchestra ซึ่งมีสมาชิก 100 คน ในช่วงการบันทึกเสียง 12 ช่วง (ซึ่งกินเวลานานกว่า 72 ชม.) ซาวด์แทร็กได้รับการบันทึกในระบบสเตริโอ 6 ช่องสัญญาณ มีการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์มากกว่า 3 ชม. และสุดท้ายก็ใช้เพลงประกอบ 2 ชั่วโมงครึ่ง ทำให้เป็นดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่แต่งขึ้นยาวที่สุดในเวลานั้น

ความที่ดนตรีประกอบภาพยนตร์ของ Ben-Hur นั้นยิ่งใหญ่อลังการมาก ในงานเพลงคลาสสิกที่ใช้วงออเคสตราขนาดใหญ่ในการบรรเลง สร้างบรรยากาศการรับฟังที่ยิ่งใหญ่ รู้สึกอิ่มเอมใจ หากได้ฟังจากซิสเต็มที่ถึงๆ จะประทับใจไม่ต่างจากฟังงานเพลงคลาสสิกชั้นดีที่ประพันธ์โดยคีตกวีระดับโลก

กล่าวกันว่า ดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง Ben-Hur ถือเป็นผลงานที่ดีที่สุดในอาชีพการงานของ Rózsa เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Ben-Hur ยังคงมีอิทธิพลอย่างมากจนถึงกลางทศวรรษปี 1970 กระทั่งเมื่อดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่แต่งโดย John Williams สำหรับภาพยนตร์เช่น Jaws, Star Wars และ Raiders Of The Lost Ark ได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่นักแต่งเพลงและผู้ชมภาพยนตร์

ตัวอย่างเพลงประกอบภาพยนตร์ Ben-Hur

2. Gone With The Wind

ในชื่อภาษาไทย “วิมานลอย” เป็นภาพยนตร์อเมริกันแนวโรแมนติกอิงประวัติศาสตร์ ที่ปัจจุบันกล่าวขานกันเป็นตำนานอมตะแห่งโลกภาพยนตร์ ลงจอออกฉายในปี 1939 ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกันในปี 1936 ของ Margaret Mitchell ภาพยนตร์เรื่องนี้ผลิตโดย David O. Selznick จาก Selznick International Pictures และกำกับโดย Victor Fleming* การสร้างภาพยนตร์ประสบปัญหาหลายอย่าง นับตั้งแต่การเริ่มต้นถ่ายทำที่ล่าช้าไปสองปี จนได้ถ่ายทำในเดือนมกราคม 1939 และสิ้นสุดการถ่ายทำในเดือนกรกฎาคมถัดมา, การคัดเลือกนักแสดงในบทบาทของ Scarlett O’Hara นางเอกของเรื่องก็เป็นเรื่องยาก กว่าจะได้มาเป็น Vivien Leigh เข้ามารับบทบาท ได้มีการสัมภาษณ์ผู้หญิงถึงกว่า 1,400 คนเพื่อรับบทนี้ ; บทภาพยนตร์ หรือ Screenplay ดั้งเดิมของ Sidney Howard ได้รับการแก้ไขหลายครั้งโดยนักเขียนหลายคน เพื่อปรับลดความยาวให้มีความเหมาะสม ; *George Cukor ผู้กำกับคนเดิมถูกไล่ออกหลังจากเริ่มถ่ายทำได้ไม่นาน และถูกแทนที่ด้วย Victor Fleming (ซึ่ง Sam Wood ได้เข้ามาแทนที่ในช่วงสั้น ๆ ในขณะที่ต้องพักงานเนื่องจากความอ่อนล้า) ; งานถ่ายทำเสร็จสิ้นในเดือนพฤศจิกายน 1939 เพียงหนึ่งเดือน ก่อนการฉายรอบปฐมทัศน์

Gone With The Wind ได้ลงจอฉายเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 1939 ด้วยระยะเวลาในการรับชมถึงกว่า 3 ชม. (221 นาที) และได้รับการตอบรับที่ดีจากนักวิจารณ์ โดยชื่นชมในเรื่องการคัดเลือกนักแสดง แต่ติติงในเรื่องความยาวของภาพยนตร์ ณ งานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 12 “Gone With The Wind” ได้รับรางวัลออสการ์มากถึง 10 สาขา สร้างสถิติเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล และมีการเสนอชื่อเข้าชิงรวมกันมากที่สุดในเวลานั้น จนกระทั่ง Ben-Hur ทำลายสถิตินี้ในปี 1959 

ขอเสริมไว้นิดครับ เรื่องนี้ได้รับการบันทึกไว้  Hattie McDaniel นักแสดงสมทบ เป็นสาวแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์ ทว่าเนื่องจากสมัยนั้นยังมีการเเบ่งแยกและกีดกันสีผิว ในงานเปิดตัวหนัง เธอจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ไปร่วมงาน (อาจจะรวมถึงนักแสดงผิวสีคนอื่นๆ ในเรื่องนี้ด้วย) และในวันที่เธอได้รับรางวัลออสการ์ เธอได้รับอนุญาตให้เข้าไปในงานได้เพียงช่วงเวลาที่รับรางวัลเท่านั้น ไม่ได้นั่งรวมกับแขกคนอื่น ๆ ในงาน

“วิมานลอย” ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามเมื่อลงจอฉายครั้งแรก กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในเวลานั้น และถือครองสถิติมาเป็นเวลากว่าหนึ่งในสี่ของศตวรรษ เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อแล้ว “วิมานลอย” ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ มีการกลับมาฉายซ้ำเป็นระยะๆ ตลอดศตวรรษที่ 20 ได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล และในปี 1989 กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ 25 เรื่อง ที่ได้รับเลือกเพื่อการอนุรักษ์ในหอทะเบียนภาพยนตร์แห่งชาติของสหรัฐฯ

Max Steiner ผู้ประพันธ์

ในส่วนของเพลงประกอบภาพยนตร์ Selznick เลือก Max Steiner ให้แต่งเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ (Warner Bros. ซึ่งทำสัญญากับ Steiner ในปี 1936 ตกลงที่จะยืมเขาให้ Selznick ทั้งนี้ Steiner ใช้เวลา 12 สัปดาห์ในการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Gone With The Wind ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่นานที่สุดที่เขาเคยแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ ด้วยความยาว 2 ชั่วโมง 36 นาที นับว่าเป็นระยะเวลาที่นานที่สุดที่เขาเคยแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ (แต่ก็ยังมีผู้ประพันธ์เพลงประกอบร่วมอีก 5 คน ได้แก่ Hugo Friedhofer, Maurice de Packh, Bernhard Kaun, Adolph Deutsch และ Reginald Hazeltine Bassett) บทเพลงประกอบภาพยนตร์สะท้อนความยิ่งใหญ่ โออ่า สอดแทรกความเริงร่า แฝงด้วยความหวาน และความเศร้าโศกกินใจในบางช่วงบางตอน แต่ความไพเราะของบทเพลงนั้นเป็นเอกลักษณ์ที่ใคร ๆ ก็จดจำ

OST ของภาพยนตร์เรื่องนี้ บันทึกเสียงต้นฉบับไว้ในปี 1939 ระบบเสียงจึงเป็นแบบ โมโน โดยที่ Max Steiner ได้เป็นผู้กำกับวง Warner Bros. Studio Orchestra ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามได้มีการบันทึกใหม่ (Re-Recording) อีกหลายครั้ง ซึ่งมีทั้งที่ Max Steiner เป็นผู้กำกับวงเอง ในปี 1954 ; Muir Mathieson เป็นผู้กำกับวง Sinfonia of London ในปี 1959 ; Cyril Ornadel เป็นผู้กำกับวง The Starlight Symphony ในปี 1961 และ Charles Gerhardt เป็นผู้กำกับวง The National Philharmonic Orchestra ในปี 1974

อย่างไรก็ตาม ได้เกิดเหตุการณ์ไม่น่าเชื่อ เมื่อต้นเดือนมิถุนายน ปี 2021 ทาง HBO Max สตริมมิงในเครือ Warner Brothers ได้ทำการถอดถอน Gone With The Wind ออกไปจากระบบ หลังจากที่หนังกลายมาเป็นประเด็น และกระแสไวรัลในโซเชียลมีเดีย โดยมีการจับโยงไปถึงเรื่องราวเนื้อหาของหนัง ที่ไม่ค่อยจะเหมาะสมกับเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน โดยเฉพาะประเด็นเหยียดสีผิวที่ปรากฏอยู่ในหนัง เนื่องจากมีการนำเสนอความอคติทางชาติพันธุ์และสีผิว ที่เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามกลางเมือง และผลกระทบหลังสงคราม ผ่านมุมมองของชาวผิวขาวทางใต้ จึงถูกมองว่าเป็นแนวคิดที่ขัดต่อค่านิยมปัจจุบันของทางบริษัท ทำให้พิจารณาปลดหนังเรื่องนี้ออกจากระบบไปก่อน แต่ประเด็นดราม่าครั้งนี้ก็ไม่ได้มีผลกระทบเฉพาะเพียงแค่ในสหรัฐฯเท่านั้น เพราะทางวอร์เนอร์ฯได้มีจดหมายแจ้งไปยังบริษัทผู้จัดจำหน่ายหนังเรื่องนี้ทั่วโลก เพื่อขอความร่วมมือระงับขายและเผยแพร่ภาพยนตร์ Gone With The Wind ส่งผลให้ “วิมานลอย” ลอยไปจริงๆ ลอยหายไปจากประวัติศาสตร์กับกระแสเชี่ยวของการเคลื่อนไหวต่อต้านการเหยียดผิว

ตัวอย่างเพลงประกอบภาพยนตร์ Gone With The Wind

3. The Sound Of Music

ในชื่อภาษาไทย “มนต์รักเพลงสวรรค์” ซึ่งได้กวาดรางวัลออสการ์ถึง 5 รางวัลโดยตัวภาพยนตร์เองเป็นประเภท Musical Drama Film หรือภาพยนตร์ในแบบละครเพลงเต็มขั้นความยาว 174 นาที ลงจอฉายครั้งแรกในปี 1965 นับถึงปัจจุบัน (2025) ก็ 60 ปี ซึ่งพูดได้ว่า “The Sound Of Music” สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้คนนับล้านทั่วโลก และยอมรับว่า เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ 5 เรื่องที่มีผู้ชมมากที่สุดตลอดกาล ซึ่งความสำเร็จของ “The Sound Of Music” นั้นไม่ใช่เพียงเพราะความเป็นภาพยนตร์เพลงที่มีดนตรีอันแสนไพเราะซึ่งประพันธ์โดย Richard Rodgers พร้อมเนื้อเพลงที่แต่งโดย Oscar Hammerstein II และต้นฉบับหนังสือที่เขียนโดย Lindsay และ Crouse เท่านั้น หากยังรวมถึงเรื่องราวสุดซาบซึ้งที่มีตอนจบเปี่ยมด้วยความสุข สนุกสนานแบบว่าสุขนาฏกรรม หรือ Happy Ending อย่างที่ผู้คนปรารถนา ทำให้ผู้ดูมีความประทับใจในภาพยนตร์

The Sound Of Music ครองใจคนทั่วโลก ด้วยการผสมผสานระหว่างเรื่องราวที่ทรงพลังและกินใจ มีเพลงและดนตรีชั้นยอดให้ฟัง รวมถึงทิวทัศน์อันสวยงามตระการตาของเมืองซัลซ์บูร์ก (Salzburg) ในประเทศ Austria ให้รับชม Robert Wise, ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เคยอธิบายไว้ว่า The Sound Of Music ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม เพราะเนื้อหาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง (True Story) ในเมืองที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป เรื่องราวที่ภาพยนตร์บอกเล่ากินใจผู้ชม บทบาทหลัก ๆ มักเป็นเด็ก ๆ น่ารัก และเมือง Salzburg ก็เป็นฉากหลังที่น่าประทับใจไม่รู้ลืม

Julie Andrews รับบท Maria ที่รับงานเป็นครูพี่เลี้ยงให้กับครอบครัวใหญ่ของ Captain Von Trapp ซึ่งเป็นพ่อม่ายของเด็ก ๆ ทั้ง 7 คน นำแสดงโดย Christopher Plummer ที่ได้รับคำสั่งให้เข้ารับราชการในกองทัพเรือเยอรมัน แต่เขากลับต่อต้านพวกนาซี เขา และ Maria ต่างตกหลุมรักกัน จึงตัดสินใจหนีออกจากออสเตรียไปพร้อมกับเด็ก ๆ แล้วก็แต่งงานกับกัปตันจอร์จ ฟอน ทราปป์ ในที่สุด

The Sound Of Music กลายเป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาล แซงหน้า ‘Gone With The Wind’ และครองตำแหน่งนี้เป็นเวลา 5 ปี ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความนิยมทั่วโลก ทำลายสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศที่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้ใน 29 ประเทศ สร้างประวัติศาสตร์เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ครั้งแรกนาน 4 ปีครึ่ง และเข้าฉายซ้ำอีกครั้งอย่างประสบความสำเร็จ 2 ครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้สร้างสถิติขายตั๋วเข้าชมได้ 283 ล้านใบทั่วโลก และทำรายได้รวมทั่วโลกกว่า 286 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในปี 1998 สถาบันภาพยนตร์อเมริกัน (American Film Institute-AFI) ได้จัดให้ The Sound Of Music เป็นภาพยนตร์อเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 55 ตลอดกาล และเป็นภาพยนตร์เพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ต่อมาในปี 2001 หอสมุดรัฐสภาสหรัฐอเมริกา (United States Library Of Congress) ได้เลือกภาพยนตร์เรื่องนี้ให้เก็บรักษาไว้ในทะเบียนภาพยนตร์แห่งชาติ เนื่องจากพบว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ “มีความสำคัญทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสุนทรียศาสตร์”

ในส่วนของเพลงประกอบภาพยนตร์ อย่างที่ได้บอกไป ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นภาพยนตร์เพลงที่เป็นผลงานร่วมกันของ Richard Rodgers และ Oscar Hammerstein II เรียบเรียงและควบคุมวงโดย Irwin Kostal ซึ่งดัดแปลงท่อนดนตรีประกอบทั้งเนื้อเพลงและดนตรีสำหรับเพลงใหม่ 2 เพลงเขียนโดย Rodgers เนื่องจาก Hammerstein เสียชีวิตในปี 1960 อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ออกโดย RCA Victor ในปี 1965 และเป็นหนึ่งในอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมียอดขายมากกว่า 20 ล้านชุดทั่วโลก

Richard Rodgers และ Oscar Hammerstein ผู้ประพันธ์
Irwin Kostal วาทยกร

อัลบั้มนี้ขึ้นถึงอันดับหนึ่งใน Billboard 200 ของสหรัฐฯในปี 1965 ติดอันดับท็อปเท็นเป็นเวลา 109 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 1965 ถึงวันที่ 16 กรกฎาคม 1967 และอยู่ในชาร์ต Billboard 200 เป็นเวลาถึง 238 สัปดาห์ อัลบั้มนี้ยังเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในสหราชอาณาจักรในปี 1965, 1966 และ 1968 และเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดเป็นอันดับสองของทั้งทศวรรษ โดยใช้เวลาทั้งหมด 70 สัปดาห์ที่อันดับ 1 บน UK Album Chart ทั้งยังอยู่ในชาร์ตของนอร์เวย์เป็นเวลา 73 สัปดาห์ กลายเป็นอัลบั้มที่ติดอันดับสูงสุดเป็นอันดับที่เจ็ดตลอดกาลในประเทศนอร์เวย์อีกด้วย ในปี 2015, Billboard ได้ขนานนามอัลบั้ม The Sound Of Music นี้ว่า เป็นอัลบั้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองตลอดกาล

แน่นอนว่า ความประทับในภาพยนตร์ ร่วมกับยิ่งใหญ่ของเพลงประกอบภาพยนตร์ ทำให้อัลบั้มนี้ได้รับการผลิตออกจำหน่ายซ้ำหลายครั้ง รวมถึงฉบับครบรอบ (Anniversary Editions) ที่มีบทเพลงเพิ่มเติมในปี 1995, 2000, 2005, 2010 และ 2015 รวมถึงครั้งล่าสุดที่วางจำหน่ายในวันที่ 1 ธันวาคม 2023 ในแบบฉบับ “The Sound of Music : Original Soundtrack Recording (Super Deluxe Edition)” (4-CD/1-Blu-Ray Audio Box Set And Digital) โดยรวบรวมเพลงทั้งหมดที่วางจำหน่ายก่อนหน้านี้ รวมถึงดนตรีประกอบฉบับสมบูรณ์, เวอร์ชันเดโม (Demo Versions), เพลงที่เป็น Alternative Scoring (ดนตรีประกอบล้วนๆ) รวมถึง Alternative Vocals จากเสียงร้องของ Christopher Plummer เองที่ได้บันทึกไว้ก่อนหน้าเสียงร้องของ Bill Lee ซึ่งถูกใช้เป็นเสียงร้องจริงในภาพยนตร์ และแถมท้ายด้วยบทสัมภาษณ์ของ Richard Rodgers, Robert Wise (ผู้กำกับภาพยนตร์) และ Charmian Carr (นักแสดงสมทบในภาพยนตร์)

ตัวอย่างเพลงประกอบภาพยนตร์ The Sound Of Music

4. Lawrence Of Arabia

ในชื่อภาษาไทย “ลอเรนซ์แห่งอาราเบีย” เป็นภาพยนตร์มหากาพย์อิงประวัติศาสตร์ (Epic Biographical Adventure Drama Film) จากสหราชอาณาจักร ลงจอออกฉายครั้งแรกในเดือนธันวาคม ปี 1962 ดัดแปลงมาจากหนังสือชื่อ Seven Pillars Of Wisdom (รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า Revolt In The Desert) ซึ่งเป็นหนังสืออัตชีวประวัติและเรื่องราวของ พันเอก T.E. Lawrence ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับ และผลิตโดย David Lean

ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 10 สาขาในงานประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 35 เมื่อปี 1963 โดยคว้ารางวัลมาได้ 7 สาขา รวมทั้งรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประเภท ดราม่า และรางวัลบาฟตา (BAFTA Awards) สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและภาพยนตร์อังกฤษยอดเยี่ยมอีกด้วย

Lawrence of Arabia ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่า เป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งที่เคยสร้างมา ในปี 1991 หอสมุดรัฐสภาสหรัฐอเมริกา (United States Library Of Congress) ได้พิจารณาว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ “มีความสำคัญทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสุนทรียศาสตร์” และได้รับเลือกให้เก็บรักษาไว้ในทะเบียนภาพยนตร์แห่งชาติ (National Film Registry), ในปี 1998 สถาบันภาพยนตร์อเมริกันได้จัดให้ภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในอันดับที่ 5 ในรายชื่อภาพยนตร์อเมริกันยอดเยี่ยม 100 ปี…100 เรื่อง และได้อันดับ 7 ในรายชื่ออัปเดตประจำปี 2007, ในปี 1999 สถาบันภาพยนตร์อังกฤษได้จัดให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์อังกฤษยอดเยี่ยมอันดับที่ 3, ในปี 2004 ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับเลือกให้เป็นภาพยนตร์อังกฤษยอดเยี่ยมในการสำรวจความคิดเห็นของผู้สร้างภาพยนตร์ชั้นนำของอังกฤษโดย The Sunday Telegraph

Maurice Jarre วาทยกรและผู้ประพันธ์

ดนตรีประกอบภาพยนตร์แต่งโดย Maurice Jarre (นักแต่งเพลงและผู้อำนวยเพลงชาวฝรั่งเศส) ซึ่งในเวลานั้นยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก และได้รับการคัดเลือกหลังจากที่ William Walton และ Malcolm Arnold ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ โดยที่ Jarre มีเวลาเพียงหกสัปดาห์ในการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์สำหรับ Lawrence Of Arabia เป็นเวลาสองชั่วโมง ดนตรีประกอบภาพยนตร์นี้บรรเลงโดย London Philharmonic Orchestra โดยที่ Sir Adrian Boult เป็นผู้ควบคุมดนตรีประกอบในเครดิตของภาพยนตร์ แต่เขาไม่สามารถควบคุมดนตรีประกอบได้เกือบทั้งหมด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า เขาปรับตัวให้เข้ากับจังหวะที่ซับซ้อนของแต่ละคิวไม่ได้ และ Jarre จึงได้เข้ามาแทนที่ Sir Adrian Boult ในตำแหน่งผู้ควบคุมดนตรีประกอบภาพยนตร์

ดนตรีประกอบภาพยนตร์นี้ทำให้ Jarre ได้รับรางวัล Academy Award สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์เป็นครั้งแรก ในประเภท Substantially Original และปัจจุบัน Lawrence Of Arabia ยังได้รับการยกย่องว่า เป็นดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่ดีที่สุดตลอดกาล โดยอยู่อันดับที่สามใน 25 อันดับแรกของ American Film Institute

การบันทึกซาวด์แทร็กต้นฉบับเผยแพร่ครั้งแรกโดย Colpix Records ซึ่งเป็นแผนกบันทึกเสียงของ Columbia Pictures ในปี 1962 และฉบับรีมาสเตอร์เผยแพร่โดย Castle Music ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งของ Sanctuary Records Group เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2006

กระนั้น การบันทึกเสียงสกอร์เพลงฉบับสมบูรณ์ (complete recording) ยังไม่เคยได้รับการเผยแพร่ จนกระทั่งในปี 2010 เมื่อ Tadlow Music ได้ผลิตซีดีเพลง Complete Recording ดังกล่าวออกมาในวาระของ “Special 50th Anniversary World Premiere Release” (SIL-CD-1388) โดยมี Nic Raine เป็นผู้ควบคุมวง City Of Prague Philharmonic Orchestra จากเพลงที่ Leigh Phillips เรียบเรียงขึ้นใหม่ รวมถึงในแบบฉบับ “Limited 2CD Collector’s Edition World Premiere Recording Of The Complete Score” (TADLOW012) ที่ออกจำหน่ายในปี 2010 เช่นกัน

ตัวอย่างเพลงประกอบภาพยนตร์ Lawrence Of Arabia

https://music.youtube.com/playlist?list=OLAK5uy_mA2fGOyny_rzN-s9_BRVE9T5THvDOx63Y&si=OmfMt4HMP_NP3Qm-

5. Doctor Zhivago

ในชื่อภาษาไทย “ด็อกเตอร์ชิวาโก้” เป็นภาพยนตร์โรแมนติกอิงประวัติศาสตร์มหากาพย์ (Epic Historical Romance Film) ความยาว 193 นาที ออกฉายในปี 1965 กำกับโดย David Lean และบทภาพยนตร์โดย Robert Bolt ซึ่งอิงจากนวนิยายปี 1957 ของ Boris Pasternak เป็นเรื่องราวเกิดขึ้นในรัสเซียระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามกลางเมืองรัสเซีย ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดย Omar Sharif ในบทนำเป็น Yuri Zhivago แพทย์และกวีที่แต่งงานแล้ว ซึ่งชีวิตเปลี่ยนไปเพราะการปฏิวัติรัสเซียและสงครามกลางเมืองที่ตามมา กับ Julie Christie ในบท Lara Antipova คนรักของ Yuri Zhivago ทั้งนี้ นักวิจารณ์ร่วมสมัยวิพากษ์วิจารณ์ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความยาวกว่า 3 ชั่วโมง และอ้างว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ดูไม่สำคัญกับประวัติศาสตร์ แต่ยอมรับว่า เรื่องราวความรักมีความเข้มข้นและมีการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์

หนังสือนวนิยายของ Boris Pasternak ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในโลกตะวันตก แต่กลับถูกห้ามในสหภาพโซเวียตเป็นเวลาหลายทศวรรษ ทำให้ไม่สามารถสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ที่นั่น ดังนั้นการถ่ายทำส่วนใหญ่จึงกระทำกันในสเปนแทน ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานร่วมทุนระหว่างประเทศระหว่าง Metro-Goldwyn-Mayer และ Carlo Ponti โปรดิวเซอร์ชาวอิตาลี

ในงานประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 38 “Doctor Zhivago” ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 10 รางวัล (รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) และคว้ารางวัลมาได้ 5 รางวัล ได้แก่ บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม, ดนตรีประกอบภาพยนตร์, กำกับศิลป์ และออกแบบเครื่องแต่งกาย นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับอีกถึง 5 รางวัลจากงานประกาศรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 23 รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Motion Picture) และในเดือนพฤษภาคม 1966 ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าประกวดในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ในปี 1966

“Doctor Zhivago” ขายตั๋วได้ประมาณ 124.1 ล้านใบในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ซึ่งเทียบเท่ากับ 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อในปี 2018 นอกจากนี้ ยังขายตั๋วได้ประมาณ 248.2 ล้านใบทั่วโลก หรือเทียบเท่ากับ 2.1 พันล้านดอลลาร์เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อในปี 2014, เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดตลอดกาลในอิตาลีด้วยจำนวนผู้ชม 22.9 ล้านครั้ง, เป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในเยอรมนีด้วยค่าเช่าโรงภาพยนตร์ 39 ล้านมาร์กเยอรมันจากจำนวนผู้ชม 12.75 ล้านครั้ง และยังเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดตลอดกาลในสวิตเซอร์แลนด์ด้วยจำนวนผู้ชมมากกว่า 1 ล้านครั้ง

อีกทั้งยังเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดแห่งปีด้วยจำนวนผู้ชม 11.2 ล้านครั้งในสหราชอาณาจักร, เป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดเป็นอันดับสามตลอดกาลในออสเตรเลียด้วยค่าเช่าโรงภาพยนตร์ 2.5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายซ้ำในสหราชอาณาจักรแบบจำกัดโรง ในปี 2015 ทำรายได้ 138,493 ดอลลาร์ และ ณ ปี 2022 “Doctor Zhivago” ถือเป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดเป็นอันดับ 9 ของโลก เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อ ในปี 1998 สถาบันภาพยนตร์อเมริกันจัดให้ภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในอันดับที่ 39 ในรายชื่อภาพยนตร์ 100 ปี…100 เรื่อง และในปี 1999 สถาบันภาพยนตร์อังกฤษจัดให้เป็นภาพยนตร์อังกฤษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 27 ตลอดกาล

ในส่วนของ The Original Sound Track Album เป็นอีกครั้งที่ Maurice Jarre ได้รับมอบหมายจาก David Lean ให้ทำการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ “Doctor Zhivago” นี้ในปี 1965 ซึ่งก่อนหน้านี้ เขาได้เคยร่วมงานกับผู้กำกับ David Lean มาครั้งหนึ่งแล้ว โดยแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Lawrence of Arabia ของ Lean ในปี 1962 อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ “Doctor Zhivago” ได้รับคำชมเชยจากนักวิจารณ์ และได้รับรางวัลออสการ์สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม-ต้นฉบับ และยังได้รับรางวัลแกรมมี่สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่แต่งขึ้นสำหรับภาพยนตร์ หรือ รายการโทรทัศน์อีกด้วย

ทั้งนี้ Maurice Jarre ได้รับแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ จากผลงานของทั้ง Tchaikovsky และ Rimsky-Korsakov คีตกวีชาวรัสเซีย เพื่อให้เพลงประกอบภาพยนตร์มีความรู้สึกแปลกใหม่ นอกจากวงออร์เคสตราแบบดั้งเดิมแล้ว “Jarre” ยังใช้ Harpsichord, Zither, Koto, Shamisen, Sonovox, Novachord, Electric Piano และ Balalaika อีกถึง 24 ตัว ยังรวมถึงฆ้องใหญ่ขนาด 6 ฟุตอีกด้วย…เป็นเกร็ดไว้นิดว่า เนื่องจากไม่มีสมาชิกวงออร์เคสตรา MGM Studio คนไหนเล่น Balalaika (เครื่องดนตรี ประเภท 3 สายของรัสเซีย) ได้ “Jarre” จึงต้องหาผู้เล่นจากโบสถ์ออร์โธดอกซ์รัสเซียในตัวเมืองลอสแองเจลิสมาทำการเล่น

นอกจากนี้เครื่องสังเคราะห์เสียง (Synthesizer) “Moog” ซึ่งเพิ่งประดิษฐ์ขึ้นมาไม่นานในช่วงนั้น ก็ยังได้ถูก “Jarre” นำมาใช้ในการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย ที่สำคัญนอกเหนือจากเครื่องดนตรีที่ถูกนำมาใช้เป็นเอกลักษณ์ของเขาแล้ว “Jarre” ยังใช้คอรัส 40 เสียง ซึ่งต้องใช้ไมโครโฟน 20 ตัว และวิศวกรเสียงถึง 6 คนเพื่อบันทึกเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ “Jarre” ควบคุมวงออเคสตรา 110 ชิ้นเป็นเวลาสิบวัน เพื่อบันทึกเพลงประกอบภาพยนตร์ โดยบันทึกเพลงประกอบภาพยนตร์เสร็จเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 1965 เพียงแค่แปดวันก่อนที่ภาพยนตร์จะเข้าฉายรอบปฐมทัศน์โลก (World Premiere)

เพลงประกอบภาพยนตร์เปิดตัวที่อันดับ 139 บนชาร์ต Billboard 200 เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 1966 โดยขึ้นถึงอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard 200 เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 1966…ยาวนานถึงเกือบหนึ่งปีหลังจากภาพยนตร์ออกฉาย และแล้วในปี 2015, Billboard 200 ได้จัดอันดับเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ให้อยู่อันดับที่ 8 ในรายชื่อ “Greatest Billboard 200 Albums Of All Time”, ในแคนาดา อัลบั้มนี้ขึ้นถึงอันดับ 2 และอยู่ในอันดับ 5 สูงสุดเป็นเวลา 17 ชาร์ตติดต่อกัน, ในปี 2013 เพลงประกอบภาพยนตร์ติดอันดับที่ 6 ใน ABC Classic FM Classic 100 Music in the Movies สำหรับเพลงประกอบภาพยนตร์ อันเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดของ Doctor Zhivago ก็คือ “Lara’s Theme” ซึ่งถูกใช้เป็น ‘leimotif’ และปรากฏในส่วนต่างๆ ตลอดทั้งเรื่อง อีกทั้งน่าภูมิใจที่เพลงประกอบภาพยนตร์ Doctor Zhivago มักถูกนำมาใช้ในรายการแข่งขันสเก็ตลีลา (Figure Skating) นักสเก็ตลีลาชาวเกาหลีใต้ ‘Choi Da-bin’ ได้ใช้เพลงประกอบภาพยนตร์นี้เป็นเพลงประกอบในการเล่นสเก็ตลีลาในโอลิมปิกฤดูหนาวปี 2018

________________________